สำนักข่าวบลูมเบิร์กออกบทวิเคราะห์โดยระบุว่า ในช่วงไม่กี่วันมานี้ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) พยายามสร้างภาวะ "นิวนอร์มัล" (New Normal) ให้แก่ไต้หวัน ภายหลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเดินทางเยือนไต้หวัน ด้วยการจัดซ้อมรบในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการรุกล้ำเส้นกึ่งกลางของช่องแคบไต้หวันหลายครั้งและการซ้อมยิงขีปนาวุธข่มขู่ จนทำให้พื้นที่กันชนระหว่างสองดินแดนแห่งนี้ที่ช่วยรักษาสันติภาพมาหลายทศวรรษต้องหดตัวลง
แม้การซ้อมรบใหญ่ใกล้เกาะไต้หวันเพื่อทำการยั่วยุนั้นได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) แต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนก็ได้วางแม่แบบการซ้อมรบรอบใหม่ใกล้กับไต้หวันมากยิ่งกว่าเดิม โดยเป็นอีกครั้งที่กระทรวงกลาโหมไต้หวันรายงานว่าพบเรือรบและเครื่องบินรบของจีนในบริเวณใกล้เคียงเมื่อวานนี้ หลังจากที่เครื่องบินมากกว่า 120 ลำบินข้ามเส้นกึ่งกลางมาตั้งแต่วันพุธถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3-7 ส.ค.)
นายเทย์เลอร์ ฟราเวล ศาสตราจารย์และผู้อำนวยการโครงการศึกษาความมั่นคงของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) กล่าวว่า "เราอาจจะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จีนทำมาในสัปดาห์นี้เกิดขึ้นเป็นประจำมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นนิวนอร์มัล ในแง่ที่จีนจะเอากองทัพมาปรากฏตัวรอบ ๆ ไต้หวันจนกลายเป็นเรื่องปกติ"
กลยุทธ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันให้สหรัฐมากขึ้นในการคิดแผนตอบโต้ที่กระตุ้นให้จีนต้องถอนตัวโดยไม่เพิ่มความตึงเครียดไปมากกว่านี้ เช่นในสมัยที่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ส่งกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำเข้าพื้นที่พิพาทในช่วงวิกฤตช่องแคบไต้หวัน แต่ในสมัยปัจจุบัน ปธน.โจ ไบเดนต้องเผชิญกับจีนที่ตอนนี้ควบคุมกองทัพเรือใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมคลังขีปนาวุธต่อต้านเรืออีกจำนวนมาก อันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเรือสหรัฐที่ปฏิบัติการใกล้ชายฝั่ง