ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กำลังถูกท้าทายอำนาจ เพียงไม่ถึง 1 เดือนหลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 โดยขณะนี้ชาวจีนจำนวนมากพากันลุกฮือประท้วงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาล พร้อมกับเรียกร้องให้ปธน.สีลาออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ชาวจีนรวมตัวกันบนท้องถนนในเมืองต่างๆ ซึ่งรวมถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง เมืองอู่ฮั่น เฉิงตู ซีอาน และนานกิง เพื่อแสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลยังคงล็อกดาวน์เมืองต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน และทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม
นอกจากนี้ ประชาชนแสดงความไม่พอใจที่เกิดเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตถึง 10 รายจากเหตุเพลิงไหม้ในอาคารแห่งหนึ่งที่เมืองอุรุมชี เมืองหลวงของซินเจียง ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล
อย่างไรก็ดี นักวิชาการระบุว่า รัฐบาลจีนจะยังคงสามารถควบคุมสถานการณ์ และเหตุการณ์ประท้วงจะไม่ลุกลามเหมือนกับวิกฤตการณ์เทียนอันเหมินในปี 1989
"การที่จะเกิดเหตุการณ์ประท้วงวุ่นวายถึงขั้นเทียนอันเหมินในปี 1989 จำเป็นต้องเกิดความแตกแยกอย่างเห็นได้ชัดในคณะผู้ปกครองของจีน" นายฮุง โฮ-ฟุง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์กล่าว
นายฮุงกล่าวว่า ปธน.สีสามารถขจัดภัยคุกคามต่อการครองอำนาจของเขาในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในเดือนต.ค. ซึ่งเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำพรรคและประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 พร้อมกับเปิดตัว 7 ผู้นำในคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ชุดใหม่ ซึ่งมีความภักดีต่อปธน.สี
"หากไม่มีสัญญาณความแตกแยกที่ชัดเจนของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ ผมคิดว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นจะอยู่ได้ไม่นาน และเป็นเรื่องยากที่จะคิดว่าปธน.สีจะยอมอ่อนข้อ ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์มีประสบการณ์มาก่อนแล้วในการรับมือกับการชุมนุมประท้วง" นายฮุงกล่าว