ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งประเทศจีนหวนคืนสู่เวทีโลก เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐและนานาประเทศ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากกระชับอำนาจภายในประเทศด้วยการครองตำแหน่งผู้นำจีนเป็นสมัยที่ 3 และปรับเปลี่ยนคณะผู้นำประเทศ
เว็บไซต์ภาษาอังกฤษของกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า ปธน.สีได้พบกับประมุขแห่งรัฐมากกว่า 25 ราย ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. หลังจากที่ปธน.สีได้ทำการปรับเปลี่ยนคณะผู้นำภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงกลางเดือนต.ค.
ล่าสุด ปธน.สียังเป็นเจ้าภาพต้อนรับนายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป (EU) ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (1 ธ.ค.) ซึ่งมีขึ้นหลังจากที่นายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเดินทางเยือนจีนเมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย. โดยถือเป็นผู้นำชาติตะวันตกรายแรกที่เดินทางเยือนจีนนับตั้งแต่โควิด-19 ระบาด
นายไมเคิล คันนิงแฮม นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียศึกษาของมูลนิธิเดอะเฮอริเทจ ระบุว่า "ปีนี้เราเห็นปธน.สีเดินทางออกนอกประเทศหลายครั้งนับตั้งแต่เข้าร่วมการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่อุซเบกิสถานเมื่อเดือนก.ย. โดยเขาออกนอกประเทศมากขึ้นและมีส่วนร่วมกับประชาคมโลกมากขึ้น โดยกรณีดังกล่าวถือเป็นความท้าทายสำหรับสหรัฐ"
ขณะเดียวกัน นายคันนิงแฮมเสริมว่า ความพยายามของสหรัฐในการสร้างพันธมิตรในต่างประเทศนั้นได้แรงหนุนจากการที่ปธน.สีไม่ได้เข้าร่วมเวทีระหว่างประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
การประชุมดังกล่าวมีขึ้นหลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการบังคับใช้มาตรการสกัดโควิด-19 ซึ่งทำให้จีนและชาติตะวันตกแยกออกจากกัน ขณะที่ ความขัดแย้งในประเด็นไต้หวันในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีนตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
ส่วนนักวิเคราะห์ของยูเรเชีย กรุ๊ป ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ว่า "ปธน.สีกำลังฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตผ่านการประชุมระดับทวิภาคีกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ที่เกาะบาหลี" พร้อมกล่าวว่า "ปธน.สีได้พบกับผู้นำประเทศอุตสาหกรรมขั้นสูงที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 ระบาด ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างจีนและชาติตะวันตก การประชุมส่วนใหญ่ของปธน.สีกระตุ้นให้เกิดมุมมองเชิงบวกต่อการรักษาความสัมพันธ์ให้มีเสถียรภาพ"