ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากสมาชิกวุฒิสภาทั้งจากพรรคเดโมเครตและพรรครีพับลิกัน เพื่อให้ดำเนินการจัดการกรณีผู้อพยพระลอกใหม่ที่คาดว่าจะมารวมตัวกันริมเขตชายแดนทางตอนใต้เพื่อขอลี้ภัยเข้าประเทศ หลังจากนโยบายจัดการผู้ลี้ภัยที่ประกาศใช้ตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใกล้สิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้
เมืองชายแดนของสหรัฐหลายเมืองต่างเตรียมรับมือการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย หลังจากที่ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐยกเลิกนโยบายควบคุมคนเข้าเมืองซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2563 ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอนุญาตให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศเม็กซิโกหรือประเทศอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ผู้อพยจำนวนหลายพันคนมารวมตัวอยู่ริมชายแดนสหรัฐกับเม็กซิโก เพื่อรอวันสิ้นสุดการบังคับใช้นโยบายจำกัดคนเข้าเมือง โดยนโยบายดังกล่าวมีชื่อว่า Title 42 ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 21 ธ.ค. นี้
ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) เมืองเอลปาโซ เมืองในรัฐเท็กซัสที่ติดกับชายแดนเม็กซิโก ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากมีผู้อพยพจำนวนหลายร้อยคนนอนริมถนนท่ามกลางอุณหภูมิที่หนาวเย็น และมีผู้อพยพหลายพันคนถูกจับกุมทุกวัน
นายโทนี กอนซาเลซ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัสจากพรรครีพับลิกัน เปิดเผยกับรายการข่าว Face of Nation ทางช่องซีบีเอสว่า สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมาก พร้อมเรียกร้องให้ปธน.ไบเดนกลับมาโช้นโยบายในอดีตซึ่งทำให้ขั้นตอนการพิจารณาผู้ลี้ภัยเป็นไปอย่างรวดเร็วและเร่งรัดการส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศ
ทางด้านรายเฮนรี คูเอลลาร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัสจากพรรคเดโมแครตก็ได้ออกมากระตุ้นให้ปธน.ไบเดนออกนโยบายที่กำหนดให้ผู้ขอลี้ภัยต้องยื่นเรื่องที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของทางการเท่านั้น และหากผู้ขอลี้ภัยไม่ปฏิบัติตามกฎก็จะต้องถูกส่งตัวกลับ