ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยว่า ภูมิภาคส่วนใหญ่ของยูเครนเผชิญกับปัญหาไฟฟ้าดับ แต่ความเสียหายจะเลวร้ายกว่านี้หากไม่มีการป้องกันทางอากาศที่ยอดเยี่ยม โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังเมื่อวันพฤหัสบดี (29 ธ.ค.) ยูเครนถูกรัสเซียถล่มยิงด้วยขีปนาวุธกว่า 120 ลูก
ปธน.เซเลนสกีกล่าวผ่านทางวิดีโอเมื่อคืนวานนี้ (29 ธ.ค.) ว่า กองบัญชาการทางอากาศภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกของยูเครนสามารถป้องกันขีปนาวุธจากรัสเซีย 54 ลูกและโดรนอีก 11 ลำ ซึ่งนับเป็นการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดของรัสเซียนับตั้งแต่เริ่มรุกรานยูเครนในเดือนก.พ.
ปธน.เซเลนสกีระบุว่า พื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟดับที่ยุ่งยากเป็นพิเศษประกอบด้วยกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน เมืองโอเดสซาและเคอร์ซอนทางตอนใต้ และภูมิภาคใกล้เคียง รวมถึงพื้นที่รอบเมืองลวิว บริเวณใกล้ชายแดนตะวันตกติดกับโปแลนด์
อย่างไรก็ตาม ปธน.เซเลนสกีเสริมว่า "ความเสียหายดังกล่าวไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีกองกำลังต่อต้านอากาศยานและการป้องกันภัยทางอากาศที่ยอดเยี่ยมของเรา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีเสียงเตือนภัยการโจมตีทางอากาศดังขึ้นทั่วยูเครน โดยคลิปวิดีโอจากรอยเตอร์เผยให้เห็นเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเข้าค้นหาตามซากปรักหักพังของอาคารที่พักอาศัยในกรุงเคียฟที่ถูกทำลายจากแรงระเบิด รวมถึงเห็นรอยควันตามเส้นทางของขีปนาวุธบนฟ้า
กระทรวงกลาโหมยูเครนระบุว่า เหตุโจมตีครั้งนี้ได้ทำลายอาคารที่อยู่อาศัยมากกว่า 18 แห่ง และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 10 แห่ง
รายงานระบุว่า การโจมตีทางอากาศของรัสเซียในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ส่งผลให้ผู้คนนับล้านไม่มีไฟฟ้าใช้และไม่สามารถเปิดเครื่องทำความร้อนช่วงที่ในอุณหภูมิเย็นจัดได้
ทั้งนี้ ยังมีการสู้รบที่รุนแรงที่สุดในเมืองหน้าด่านทางตะวันออกของเมืองบาห์มุทและโซเลดาร์ในจังหวัดโดเนตสก์ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ภูมิภาคที่รัสเซียอ้างสิทธิ์ในการผนวกดินแดนเมื่อเดือนก.ย. โดยอีก 3 เมืองที่เหลือคือเมืองลูฮันสก์ ทางตะวันออก เมืองเคอร์ซอน และเมืองซาปอริซเซีย ทางตอนใต้ของประเทศ