ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Nation Address) ต่อสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากสภาสหพันธ์หรือวุฒิสภา และสภาดูมาหรือสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งผู้นำกองทัพ และผู้นำภาคธุรกิจ
ปธน.ปูตินใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาทีในการแถลงนโยบายประจำปีในครั้งนี้ ซึ่งได้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขึ้นก่อนครบรอบ 1 ปีของการที่รัสเซียใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.2565
ปธน.ปูตินไม่มีการแถลงนโยบายในปีที่แล้ว โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะระบุถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นพิเศษ และเขาได้กล่าวถึงบางประเด็นในการกล่าวสุนทรพจน์ในวาระอื่นๆแล้ว
ส่วนการแถลงนโยบายในปี 2564 มีขึ้นในเดือนเม.ย. และใช้เวลา 1 ชั่วโมง 19 นาที ส่วนการแถลงที่ใช้เวลานานที่สุดมีขึ้นในปี 2561 โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 55 นาที และการแถลงที่ใช้เวลาสั้นที่สุดมีขึ้นในปี 2547 และปี 2548 โดยใช้เวลาเพียง 48 นาที
นอกจากนี้ การแถลงนโยบายประจำปี 2560 ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มี.ค.2561 ซึ่งนายเซอร์เก คิริเยนโก รองผู้อำนวยการทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น กล่าวว่า การแถลงนโยบายประจำปีถือเป็นสิทธิของประธานาธิบดี ซึ่งสามารถจัดขึ้นเมื่อใดก็ได้ตามที่เห็นสมควร
สำหรับการแถลงนโยบายประจำปีนี้ ปธน.ปูตินประกาศว่า รัสเซียจะยังคงเดินหน้าทำสงครามในยูเครนต่อไป และกล่าวหาว่าสหรัฐและพันธมิตรจากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เป็นฝ่ายที่กระพือให้ความขัดแย้งลุกลามออกไป ท่ามกลางความเชื่อที่ว่าชาติตะวันตกจะสามารถเอาชนะรัสเซียได้
"เราไม่สงสัยเลยว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีการเตรียมการสำหรับการโจมตีดอนบาส ซึ่งรัฐบาลกรุงเคียฟได้จัดหาอาวุธเพื่อโจมตีดอนบาสตั้งแต่ปี 2557 และได้ทำการโจมตีเรื่อยมา"
"เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ตรงกันข้ามกับเอกสารที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้การยอมรับ ซึ่งผมขอย้ำในที่นี้ว่า พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นสงคราม และเราจะใช้กำลังทหารเพื่อยุติสงคราม"
ปธน.ปูตินกล่าวว่า รัสเซียทำทุกอย่างเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ยูเครน ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากชาติตะวันตก ได้วางแผนโจมตีแคว้นไครเมีย ซึ่งได้ผนวกรวมเข้ากับรัสเซียในปี 2557
"ชาวยูเครนตกเป็นตัวประกันของระบอบปกครองจากกรุงเคียฟและชาติตะวันตก ซึ่งได้ครอบงำประเทศนี้ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ"
"พวกเขาพยายามขยายความขัดแย้งในท้องถิ่นให้กลายเป็นการเผชิญหน้าในระดับโลก เราเข้าใจในเรื่องนี้ และจะทำการตอบโต้กลับ"
นอกจากนี้ ปธน.ปูตินระบุว่า ชาวรัสเซียส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน และรัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อเยียวยาครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตในการทำสงคราม
ขณะเดียวกัน ปธน.ปูตินกล่าวว่า แม้รัสเซียเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แต่เศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยรูเบิลได้แข็งค่าขึ้น และอัตราว่างงานแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.7%
นอกจากนี้ ปธน.ปูตินเปิดเผยว่า รัสเซียไม่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ขณะที่ระบบธนาคารมีเสถียรภาพ และรัสเซียจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567