หลังจากระยะเวลา 1 ปีที่จีนประกาศเป็นพันธมิตรแบบไม่มีขีดจำกัดกับรัสเซียนั้น จีนในขณะนี้กำลังโน้มน้าวให้โลกเชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นกลางซึ่งสามารถช่วยยุติสงครามในยูเครนได้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายหวัง อี้ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีกำหนดเดินทางเยือนกรุงมอสโกของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากยื่นข้อเสนอสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งที่ก่อขึ้นโดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แต่ทางฝั่งสหรัฐได้ออกมาถากถางความพยายามดังกล่าวของจีน โดยนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวหาจีนว่ากำลังพิจารณาเรื่องการส่งมอบอาวุธให้กับรัสเซีย ทั้งที่เคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ล้ำเส้นในเรื่องนี้
การปะทะฝีปากระหว่างนายบลิงเกนกับนายหวังระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงที่เยอรมนีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงนั้น แสดงให้เห็นว่าปัญหาระหว่างจีนและสหรัฐซึ่งเป็นสองมหาอำนาจเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกนั้นหยั่งรากลึกยิ่งกว่าแค่เรื่องบอลลูนสอดแนมที่เพิ่งบ่อนทำคลายความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติเมื่อไม่นานมานี้
นายราฟฟาเอลโล ปานทุชชี นักวิชาการอาวุโสประจำสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม (S. Rajaratnam School of International Studies) ในสิงคโปร์ ผู้ซึ่งร่วมเขียนหนังสือด้านนโยบายต่างประเทศของจีน ให้ความเห็นว่า "ผมไม่คลางแคลงใจในเรื่องความปรารถนาของจีนที่ต้องการให้เกิดสันติภาพ แต่ในขณะเดียวกันมันดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ผมมองว่าในการแสดงความน่าเชื่อถือนั้น จีนต้องต้องวางตัวให้เห็นว่าเป็นคนกลางที่อิสระ แต่จีนก็ได้เลือกข้างอย่างชัดเจนแล้วในความขัดแย้งนี้"
ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ก็ยังไม่เคยเจรจากับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน นับตั้งแต่รัสเซียส่งกำลังทหารรุกรานยูเครน แต่ได้หารือกับปธน.ปูตินมาแล้ว 4 ครั้ง นอกจากนี้ จีนยังได้ออกโรงปกป้องเหตุผลในการทำสงครามของรัสเซียหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่คือการป้องกันการขยายอำนาจขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แต่ในขณะเดียวกับก็ยืนยันว่าไม่สนับสนุนสงครามดังกล่าว