มหาอำนาจระดับภูมิภาคทั้งอิหร่านและซาอุดีอาระเบียต่างเห็นพ้องกันเมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) ที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเปิดภารกิจด้านการทูตอีกครั้ง ซึ่งนับเป็นการประกาศที่สร้างความน่าประหลาดใจ โดยมีจีนเป็นคนกลาง ซึ่งอาจจะมีนัยสำคัญในวงกว้างทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง
ในแถลงการณ์ไตรภาคี อิหร่านซึ่งมีประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ และซาอุดีอาระเบียซึ่งประชาชนนับถือนิกายสุหนี่กล่าวว่า พวกเขาจะเปิดสถานทูตและภารกิจต่างๆ อีกครั้งภายใน 2 เดือน และจะดำเนินการตามข้อตกลงด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ได้ลงนามไปเมื่อกว่า 20 ปีแล้ว
ก่อนหน้านี้ซาอุดีอาระเบียได้ตัดสัมพันธ์กับอิหร่าน หลังจากผู้ประท้วงชาวอิหร่านโจมตีคณะผู้แทนทางการทูตของซาอุดีอาระเบียในปี 2559 ภายหลังซาอุฯ สั่งประหารชีวิตนิมร์ อัล-นิมร์ นักบวชชาวชีอะห์ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในประเด็นขัดแย้งระหว่างสองชาติคู่แข่งที่มีดำเนินมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ การประกาศรื้อฟื้นความสัมพันธ์กันเมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) ซึ่งมีขึ้นหลังการเจรจาเป็นเวลา 5 วันในกรุงปักกิ่ง และการเจรจาหลายรอบในอิรักและโอมานนั้น ครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางเพิ่มขึ้น และความพยายามในการผ่อนคลายความตึงเครียดในภูมิภาค