ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้เดินทางถึงกรุงมอสโกในวันนี้แล้วในการเดินทางเยือนเป็นเวลา 3 วันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซีย และเพื่อรับบทบาทในการเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในยูเครน
ทั้งนี้ ปธน.สีมีกำหนดพบปะอย่างไม่เป็นทางการกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในวันนี้ โดยผู้นำทั้งสองจะร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ก่อนที่จะจัดการเจรจาอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและรัสเซียจนถึงปี 2573
การเดินทางดังกล่าวเป็นการเดินทางเยือนรัสเซียเป็นครั้งแรกของปธน.สี นับตั้งแต่รัสเซียใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2565 และเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปธน.สีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3
คาดว่าปธน.สีจะนำข้อเสนอ 12 ข้อของจีนในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เข้าหารือกับปธน.ปูตินในการพบปะกันครั้งนี้
ทั่วโลกต่างฝากความหวังไว้ที่ปธน.สี ซึ่งจะมารับบทบาทปลดชนวนสงครามยูเครน โดยที่ผ่านมาผู้นำโลกหลายคนไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส หรือประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี ต่างก็ได้เคยเจรจากับปธน.ปูติน แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดสันติภาพในยูเครน
นายสตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ปธน.สีเป็นบุคคลเดียวในโลกที่จะสามารถโน้มน้าวปธน.ปูตินในการยุติสงครามในยูเครน
"ผมคิดว่ามีบุคคลเดียวในโลกที่จะสามารถมีอิทธิพลต่อปธน.ปูติน นั่นก็คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน ซึ่งเขาควรจะฉวยโอกาสนี้ สิ่งดีที่สุดที่จีนสามารถทำได้ในขณะนี้คือการเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างรัสเซียและยูเครน" นายโรชกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
อย่างไรก็ดี ชาติตะวันตกยังคงแสดงความคลางแคลงใจต่อบทบาทของจีนในการเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยวิกฤตการณ์ในยูเครน โดยมองว่า ข้อเสนอสันติภาพของจีนเอื้อประโยชน์ต่อรัสเซีย เช่น เสนอให้ยกเลิกแนวคิดแบบสงครามเย็น และยกเลิกการคว่ำบาตรแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งให้ทุกฝ่ายยุติการสู้รบ ขณะที่รัสเซียยังคงยึดครองดินแดนบางส่วนของยูเครน นอกจากนี้ จีนไม่เคยประณามการที่รัสเซียส่งกำลังทหารโจมตียูเครน และยังมีข่าวลือว่าจีนเตรียมส่งอาวุธช่วยเหลือรัสเซียในการโจมตียูเครน
การเดินทางเยือนรัสเซียของปธน.สีในครั้งนี้ จึงเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของจีนในการยุติสงครามยูเครน ขณะที่การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ดำเนินไปนานกว่า 1 ปี และได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก รวมทั้งส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวยูเครนนับล้านคน