นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งเดินทางเยือนกรุงเคียฟเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนนั้น ได้เสนอว่าจะให้การสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งกับยูเครน และได้เชิญให้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของกลุ่ม G7 ที่เมืองฮิโรชิมาในเดือนพ.ค.
นายคิชิดะซึ่งเป็นผู้นำคนสุดท้ายของประเทศสมาชิกกลุ่ม G7 ที่เดินทางเยือนยูเครนหลังจากที่ยูเครนถูกรัสเซียรุกรานเมื่อกว่า 1 ปีที่แล้วนั้น ได้เดินทางเยือนยูเครน หลังจากแวะเยือนกรุงนิวเดลีเพื่อกดดันนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียให้เข้าร่วมกับผู้นำคนอื่น ๆ ในการต่อต้านรัสเซีย
นายคิชิดะกล่าวเมื่อวันอังคาร (21 มี.ค.) ในการแถลงข่าวร่วมกับนายเซเลนสกี ณ กรุงเคียฟว่า "ญี่ปุ่นจะสนับสนุนยูเครนจนกว่าสันติภาพจะกลับคืนมา"
การที่นายคิชิดะเดินทางไปเยือนยูเครนซึ่งกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านความปลอดภัยนั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติสำหรับผู้นำญี่ปุ่น และถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการสนับสนุนของญี่ปุ่นต่อนายเซเลนสกี โดยนายเซเลนสกีได้พูดคุยกับนายคิชิดะในการประชุมออนไลน์หลายครั้ง และได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาญี่ปุ่นผ่านวิดีโอลิงก์ในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
นายคิชิดะกล่าวขณะอยู่ในยูเครนว่า "การที่รัสเซียรุกรานยูเครนนั้นเป็นการกระทำที่อุกอาจ และสั่นคลอนรากฐานของกฎระเบียบระหว่างประเทศ"
นายคิชิดะได้เดินทางไปยังเมืองบูชาซึ่งมีหลักฐานปรากฏขึ้นเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนยูเครนภายใต้การยึดครองของรัสเซีย โดยเขากล่าวว่า "ผมได้เห็นถึงผลของการรุกรานของรัสเซียกับตาของตัวเอง"
แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ร่วมในการคว่ำบาตรรัสเซียที่นำโดยตะวันตก แต่ญี่ปุ่นก็ได้ยุติการใช้มาตรการที่เข้มงวดเกี่ยวกับการจัดหาพลังงาน โดยรัฐบาลของนายคิชิดะระบุว่า โครงการส่งออกซาคาลิน-2 (Sakhalin-2) ของรัสเซียเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติเหลวที่สำคัญ และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นต้องการน้ำมันจากรัสเซียเพื่อการดำเนินงานที่มั่นคง