ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) เร่งพัฒนาระบบเอกราชเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Autonomy) ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะทำให้ชาติสมาชิก EU ตกเป็นเครื่องมือในวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน
ปธน.มาครงให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เล เอคโค (Les Echos) ของฝรั่งเศสในระหว่างการเยือนจีนว่า "ระบบเอกราชเชิงยุทธศาสตร์นั้น จะต้องเป็นระบบที่สามารถปกป้องยุโรปให้ปลอดภัย เราไม่ต้องการพึ่งพาใครหากเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นนี้" พร้อมกับกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น พลังงาน, ความมั่นคง, โซเชียลมีเดีย และปัญญาประดิษฐ์
นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสยังได้เตือนเกี่ยวกับกรณีที่สหรัฐใช้สกุลเงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือในการกำหนด "สิทธินอกอาณาเขต" ซึ่งสามารถบีบให้บริษัทต่าง ๆ ของยุโรปละทิ้งธุรกิจในประเทศที่สาม หรือตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะละเมิดมาตรการคว่ำบาตร
ปธน.มาครงกล่าวกับสำนักข่าว Politico ว่า "หากความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทั้ง 2 ชาติยังคงร้อนระอุ เราจะไม่มีเวลาหรือแม้กระทั่งทรัพยากรในการสนับสนุนความเป็นเอกราชเชิงยุทธศาสตร์ และเราจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือ"
ในระหว่างที่ปธน.มาครงเดินทางเยือนจีนพร้อมด้วยนางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) นั้น นายมาครงพยายามที่จะอธิบายถึงความแตกต่างของความสัมพันธ์ระหว่าง EU และจีน กับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ โดยระบุว่าสหรัฐมีแนวทางการปฏิบัติต่อจีนที่เข้มงวดมากกว่า ในขณะที่ยุโรปพยายามหาทางสร้างสมดุลด้วยการมีส่วนร่วมกับจีนในด้านการค้าและการลงทุน ขณะเดียวกันปธน.มาครงได้เรียกร้องให้จีนเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและอธิปไตยเหนือดินแดนของยูเครน และอื่น ๆ
ทั้งนี้ บทสัมภาษณ์ดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่จีนจะปฏิบัติการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันในวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้การเยือนสหรัฐของปธน.ไช่ อิงเหวิน ผู้นำไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยจีนให้คำมั่นว่าจะนำไต้หวันมาอยู่ใต้อาณัติให้ได้ในสักวันหนึ่งและจะใช้กำลังหากจำเป็น