ประชาชนชาวจีนได้แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลจีนสั่งเซนเซอร์โพสต์ข้อความบนออนไลน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้โรงพยาบาลในกรุงปักกิ่ง ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนจำนวนมากถึง 21 ราย
สื่อท้องถิ่นของจีนซึ่งรวมถึงสำนักข่าวซินหัว และสถานีโทรทัศน์ CGTN รายงานว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอาคารผู้ป่วยในของโรงพยาบาลปักกิ่งฉางเฟิง (Beijing Changfeng Hospital) ในวันอังคาร (18 เม.ย.) เวลา 12.57 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลา 13.33 น.ตามเวลาท้องถิ่น
ภาพวิดีโอที่มีการเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่า มีควันสีดำหนาทึบพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และประชาชนที่ติดอยู่ในอาคารสูงหลายชั้นได้นำผ้าปูเตียงมามัดเป็นเชือกและโรยตัวหนีออกจากอาคารผ่านทางหน้าต่าง ขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งหนีเอาตัวรอดด้วยการพยายามเอามือเกาะคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศที่ตั้งอยู่ด้านนอกของตัวอาคาร
รายงานระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยออกมาได้ 71 ราย และได้นำตัวส่งโรงพยาบาล
ภาพและฟุตเทจของเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้แพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดียของจีนอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลจีนได้สั่งเซนเซอร์โพสต์ดังกล่าวบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเว่ยป๋อและวีแชท
ทั้งนี้ ประชาชนชาวจีนได้แสดงความโกรธแค้นและต้องการหาคำตอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น ตั้งอยู่ห่างจากจัตุรัสเทียนอันเหมินไม่ถึง 7 ไมล์ และมีสื่อเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่รายงานข่าวนี้
ทางการจีนเปิดเผยว่า กำลังดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุเพลิงไหม้ ขณะที่ประชาชนได้โทรศัพท์เข้าไปสอบถามที่โรงพยาบาลปักกิ่งฉางเฟิง แต่ไม่มีผู้รับสาย
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียของจีนเปิดเผยว่า เหตุเพลิงไหม้โรงพยาบาลในครั้งนี้คล้ายกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่อาคารแห่งหนึ่งที่เมืองอุรุมชี เมืองหลวงของซินเจียงเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านนโยบายซีโร่โควิด และทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัยว่ามาตรการล็อกดาวน์ทำให้การให้ความช่วยเหลือล่าช้าจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหรือไม่