คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ลงมติประณามรัฐบาลตาลีบันอย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) กรณีออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงอัฟกานิสถานทำงานให้กับ UN พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำตาลีบันยกเลิกการปราบปรามสิทธิสตรีและเด็กผู้หญิงโดยด่วน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มติดังกล่าวร่างขึ้นโดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่า คำสั่งของตาลีบันที่ห้ามผู้หญิงอัฟกานิสถานทำงานให้กับ UN นั้น "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติ"
มติดังกล่าวยังเน้นย้ำถึง "บทบาทที่ขาดไม่ได้ของผู้หญิงในสังคมอัฟกานิสถาน" และกล่าวว่าคำสั่งตาลีบัน "บั่นทอนสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรม"
ลานา นิสซีบาฮ์ เอกอัครราชทูต UAE ประจำ UN กล่าวว่า กว่า 90 ประเทศที่ร่วมสนับสนุนมตินี้มาจาก "ประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน จากโลกมุสลิม และจากทั่วทุกมุมโลก"
"การสนับสนุน ... ครั้งนี้ ทำให้ประเด็นพื้นฐานของเราในวันนี้สำคัญยิ่งกว่าที่เคย ? โลกจะไม่นิ่งเฉยในขณะที่ผู้หญิงในอัฟกานิสถานถูกลบออกจากสังคม" นิสซีบาฮ์กล่าวต่อ UNSC
การลงมติของ USNC เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการประชุมระหว่างประเทศที่จะจัดขึ้นในกรุงโดฮา วันที่ 1-2 พ.ค. โดยนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN จะประชุมลับกับผู้แทนทางการทูตพิเศษจากประเทศต่าง ๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการกับรัฐบาลตาลีบัน
นายโรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำ UN กล่าวต่อ UNSC ว่า "เราจะไม่ทนต่อการปราบปรามสตรีและเด็กผู้หญิงโดยตาลีบัน การตัดสินใจของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ตัวได้และไม่มีให้เห็นที่ไหนในโลก"
"คำสั่งของตาลีบันก่อให้เกิดความเสียหายต่ออัฟกานิสถานชนิดที่ไม่อาจเยียวยาได้"
รัฐบาลตาลีบันเริ่มบังคับใช้คำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงอัฟกานิสถานทำงานให้กับ UN เมื่อต้นเดือนนี้ หลังจากที่ได้ห้ามไม่ให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำงานให้กับกลุ่มช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา และนับตั้งแต่ที่ตาลีบันโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกในปี 2564 นั้น ตาลีบันยังทำให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะได้ยากขึ้น เช่น ห้ามผู้หญิงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และสั่งปิดโรงเรียนมัธยมหญิง
อย่างไรก็ดี ทางตาลีบันกล่าวว่าเคารพสิทธิสตรีตามการตีความกฎหมายอิสลามอย่างเคร่งครัด และการตัดสินใจในครั้งนี้เป็น "ประเด็นภายใน"