Energoatom ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านพลังงานปรมาณูยูเครนระบุในวันนี้ (6 มิ.ย.) ว่า เหตุระเบิดทำลายเขื่อนคาคอฟกา (Kakhovka) บนแม่น้ำดนิโปร (Dnipro) ทางภาคใต้ของประเทศยูเครน สร้างความเสี่ยงให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) ซึ่งโรงไฟฟ้าแห่งนี้ต้องพึ่งพาน้ำเพื่อหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่สถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
ทั้งนี้ Energoatom ระบุว่า รัสเซียได้ก่อเหตุระเบิดเขื่อนคาคอฟกา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำคาคอฟกาลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียของยูเครนที่ขณะนี้รัสเซียเป็นผู้ยึดครองเอาไว้ โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป
"ขณะนี้สถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียอยู่ภายใต้การควบคุมและเจ้าหน้าที่ยูเครนกำลังจับตาสัญญาณบ่งชี้ทั้งหมด" Energoatom ระบุ
ขณะที่ สำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า กำลังจับตาสถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียอย่างใกล้ชิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งดังกล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากยูเครนและรัสเซียว่า เหตุระเบิดเขื่อนคาคอฟกาของยูเครนในเขตที่รัสเซียยึดครองเอาไว้ได้ในวันนี้ได้ก่อให้เกิดน้ำท่วมรอบพื้นที่เขตสงครามในปัจจุบัน โดยขณะนี้ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างก็กล่าวโทษอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ก่อเหตุถล่มเขื่อนคาคอฟกาในครั้งนี้
ก่อนหน้านี้ นายมุสตาฟา เนย์เยม หัวหน้าสำนักงานบูรณะซ่อมแซมของยูเครนระบุว่า "การทำลายสถานีไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟกาจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย ซึ่งใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำคาคอฟกาในการหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์"