นายไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์นายทรัมป์เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) ในการหาเสียงชิงตำแหน่งแคนดิเดตของพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งปธน.ปี 2567 โดยนายเพนซ์ประณามนายทรัมป์ที่ปลุกม็อบโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐในปี 2564
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเพนซ์กล่าวประณามนายทรัมป์รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา โดยวิจารณ์บทบาทของนายทรัมป์ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 ที่กลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์บุกเข้าไปในรัฐสภาสหรัฐเพื่อพยายามขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้งปธน.ปี 2563 ที่นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ
"ผมเชื่อว่าคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเหนือรัฐธรรมนูญไม่สมควรเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และใครก็ตามที่เรียกร้องให้ผู้อื่นเอาตัวเขาเองเป็นที่ตั้งเหนือรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกเลย" นายเพนซ์กล่าวหาเสียงในรัฐไอโอวา
นายเพนซ์ระบุว่า การกระทำของนายทรัมป์ในวันนั้น "ทำให้ครอบครัวของผม และทุกคนที่อยู่ในอาคารรัฐสภาตกอยู่ในอันตราย"
ในวันนั้น ม็อบหนุนทรัมป์ก่อการจลาจลในอาคารรัฐสภาสหรัฐ ส่งผลให้นายเพนซ์และครอบครัว ตลอดจนสมาชิกสภานิติบัญญัติและเจ้าหน้าที่ต้องหนีออกจากที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย โดยผู้ประท้วงบางรายตะโกนให้จับตัวนายเพนซ์มาแขวนคอ
"คนอเมริกันสมควรได้รู้ว่าในวันนั้น ปธน.ทรัมป์กดดันผมด้วยว่าจะเลือกตัวเขาหรือเลือกรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องเผชิญตัวเลือกแบบเดียวกับผม ผมเลือกรัฐธรรมนูญ และผมจะเลือกข้อนี้ตลอดไป" นายเพนซ์กล่าว
นอกจากนี้ ในระหว่างการหาเสียงในรัฐไอโอวา นายเพนซ์ยังวิจารณ์นายทรัมป์ว่าไม่ใส่ใจกับประเด็นการทำแท้ง โดยนายทรัมป์ขณะยังดำรงตำแหน่งปธน.ได้แต่งตั้งเหล่าผู้พิพากษาประจำศาลสูงสุดสหรัฐที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการล้มกฎหมายคุ้มครองการทำแท้งทั่วประเทศในปีที่แล้ว
ในตอนนั้น นายทรัมป์ไม่ต้องการสนับสนุนให้การจำกัดสิทธิ์การทำแท้งกลายเป็นกฎหมายที่บังคับใช้กับทุกรัฐ โดยกล่าวว่าควรปล่อยให้แต่ละรัฐตัดสินใจในประเด็นดังกล่าวเอง ในทางกลับกัน นายเพนซ์หนุนสภาคองเกรสให้ออกกฎหมายจำกัดการทำแท้งทั่วทั้งประเทศ
ด้านนายทรัมป์กล่าวกับนายทอดด์ สตาร์นส์ นักวิจารณ์หัวอนุรักษ์นิยมเมื่อวันจันทร์ (5 มิ.ย.) ว่า เขาขอให้นายเพนซ์โชคดี แต่ก็วิจารณ์ที่เขาดันปล่อยให้มีการรับรองผลการเลือกตั้งปี 2563
"เรามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดีจนถึงวินาทีสุดท้าย เราไม่ลงรอยกันในช่วงเวลาสุดท้ายนั้นในประเด็นดังกล่าว" นายทรัมป์ระบุ