สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตลอดการหาเสียงเพื่อลงศึกเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สอง นายทรัมป์ไม่ค่อยได้พูดถึงปัญหาการทำแท้งมากนัก ทำให้นายทรัมป์มีจุดยืนขัดแย้งกับแคนดิเดตพรรครีพับลิกันคนอื่น ๆ เช่น นายรอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ที่ผ่านกฎหมายห้ามการทำแท้งหลังจากตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์ในฟลอริดา
"แน่นอนว่ารัฐบาลกลางยังคงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องทารกในครรภ์ เราจะเอาชนะนโยบายของพรรคเดโมแครตหัวรุนแรงเรื่องการทำแท้งระยะท้าย" นายทรัมป์กล่าวกับผู้เข้าร่วมการประชุมประจำปีของกลุ่มแนวร่วมศรัทธาและเสรีภาพ (Faith and Freedom Coalition) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในคืนวันเสาร์
อนึ่ง การทำแท้งระยะท้ายซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีอายุครรภ์ได้ 21 สัปดาห์เป็นต้นไปนั้นถือเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก โดยคิดเป็นเพียง 1% ของการทำแท้งทั้งหมด และมักเกิดจากความผิดปกติของทารกในครรภ์หรือเมื่อชีวิตของแม่เด็กตกอยู่ในอันตราย
นายทรัมป์พูดถึงผลงานของตนที่ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาหัวอนุรักษนิยมสามคนในศาลฎีกา ทำให้ศาลมีเสียงข้างมากในการกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ซึ่งเป็นคดีสำคัญในปี 2516 ที่มีผลให้รัฐบาลกลางต้องคุ้มครองสิทธิของผู้หญิงในการทำแท้ง
หัวข้อเรื่องการทำแท้งจะกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 โดยแคนดิเดตจากพรรครีพับลิกันพยายามหาเสียงกับชาวคริสต์กลุ่มขวาจัดโดยให้สัญญาว่าจะแบนการทำแท้ง เช่น นายทิม สก็อตต์ วุฒิสมาชิกรัฐเซาท์แคโรไลนา กล่าวว่าเขาจะแบนการทำแท้งหลังอายุครรภ์ผ่านไป 15 สัปดาห์ ส่วนนายไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้คำมั่นที่จะลงนามในคำสั่งห้ามการทำแท้งโดยสิ้นเชิงทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผลสำรวจที่จัดทำโดยรอยเตอร์/อิปซอส ระหว่างวันที่ 11-12 เม.ย. พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 56% กล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มจะไม่ลงคะแนนให้นักการเมืองที่สนับสนุนกฎหมายที่จำกัดการเข้าถึงการทำแท้ง ขณะที่อีก 28% ระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะลงคะแนนให้นักการเมืองที่สนับสนุนเรื่องดังกล่าว