นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวว่า หนึ่งในเหตุผลที่เธอคาดหวังในการเดินทางเยือนจีนคือ การสร้างความสัมพันธ์กับ "คณะผู้นำกลุ่มใหม่" ในขณะที่เธอเรียกร้องให้สหรัฐและจีนร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายที่สำคัญระดับโลกในด้านต่าง ๆ
"เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกัน" นางเยนเลนกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอ็มเอสเอ็นบีซีที่ออกอากาศในคืนวันพุธ (28 มิ.ย.)
"เราจำเป็นต้องปรึกษาหารือกันในเรื่องที่เราไม่ลงรอยกัน เพื่อที่เราจะได้ไม่เข้าใจกันผิด และจะได้ไม่เข้าใจผิดในเจตนาของกันและกัน" นางเยลเลน กล่าว
แม้ว่านางเยลเลนจะไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในเร็ว ๆ นี้ แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นางเยลเลนได้แสดงออกหลายต่อหลายครั้งว่าต้องการเดินทางไปเยือนจีน โดยการเดินทางเยือนจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ของนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้เน้นย้ำถึงความพยายามของรัฐบาลของนายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐในการกอบกู้ความสัมพันธ์กับจีน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่สมัยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งประเด็นขัดแย้งกันในเรื่องไต้หวันที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นเรื่องการค้า และการอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาทกัน ตลอดจนประเด็นอื่น ๆ รวมถึงเรื่องบอลลูนสอดแนมของจีนที่ล่วงล้ำเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
คณะบริหารของนายไบเดนพยายามที่จะเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับจีน นับตั้งแต่จีนได้ตัดขาดกับสหรัฐในหลาย ๆ ประเด็นเพื่อแสดงความไม่พอใจเรื่องการเดินทางเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซีเมื่อเดือนส.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นนางเพโลซีดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ
ด้านนางเยลเลนย้ำว่าสหรัฐกำลังดำเนินการและจะดำเนินการต่อไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามของจีน แม้ว่าจะต้องแลกกับความเสียหายทางเศรษฐกิจก็ตาม ในขณะเดียวกัน นางเยลเลนก็ได้พยายามที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง เพื่อร่วมมือกันจัดการกับปัญหาระดับโลกที่มีร่วมกัน
"เรามีพันธกิจต่อโลกโดยรวมร่วมกัน ในฐานะสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น เรื่องหนี้สินปริมาณมากที่ฉุดรั้งหลาย ๆ ประเทศอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นผลพวงหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และปัญหาอื่น ๆ" นางเยลเยนกล่าว