นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส กำลังหวังพึ่งพาการบังคับใช้กฎหมายเพื่อฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยของชาติ หลังจากเกิดการก่อจลาจลรุนแรงทั่วประเทศเป็นระยะเวลาเกือบสัปดาห์ ซึ่งชนวนเหตุเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเด็กหนุ่มวัยรุ่นเชื้อสายแอลจีเรียและโมร็อกโกเสียชีวิต
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ (2 ก.ค.) นายมาครงได้เข้าประชุมกับคณะรัฐมนตรีระดับสูง ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดเพื่อจัดการกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการทดสอบอำนาจและความสามารถในการปฏิรูปของเขา โดยนายมาครงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจราว 45,000 นาย รวมทั้งกองกำลังพิเศษ และรถหุ้มเกราะ ไปประจำการยังจุดต่าง ๆ ในหลายเมือง รวมถึง ปารีส มาร์เซย์ ลียง และสตาร์บูร์ก เพื่อยับยั้งการก่อความวุ่นวายของฝูงชนซึ่งส่งผลให้อาคารสาธารณะและร้านค้าหลายร้อยแห่งได้รับความเสียหาย หรือถูกปล้นทรัพย์สิน
แม้ว่าความตึงเครียดจะผ่อนคลายลงในช่วงคืนวันอาทิตย์ (2 ก.ค.) แต่กรณีของนายนาเฮล เอ็ม เด็กหนุ่มวัย 17 ปีเชื้อสายแอลจีเรียและโมร็อกโก ผู้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของตำรวจ ยังคงเป็นเชื้อไฟที่คุกรุ่นในวิกฤตการณ์การเหยียดเชื้อชาติและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมของฝรั่งเศส ซึ่งประเด็นนี้ถูกหยิบยกไปเปรียบเทียบกับปฏิกิริยาของชาวอเมริกันที่มีต่อการสังหารนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำผู้เสียชีวิตขณะถูกตำรวจควบคุมตัว เมื่อปี 2563
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายมาครงจะเข้าพบกับนายกเทศมนตรีราว 220 คน จากเขตต่าง ๆ ทั่วฝรั่งเศสในวันอังคาร (4 ก.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ความไม่สงบที่เกิดขึ้นนี้ นับเป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาทางการเมืองสำหรับนายมาครง หลังจากการผลักดันร่างกฎหมายขยายอายุเกษียณก่อนหน้านี้ได้ส่งผลให้เกิดการนัดหยุดงาน และการประท้วงเป็นเวลาหลายเดือน โดยภาพของบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อต้านจลาจลที่ปะทะกับฝูงชนตามท้องถนนอีกครั้งยิ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ฐบาลเผชิญแรงกดดันในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ