เกิดเหตุกราดยิงในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนียของสหรัฐ ในช่วงค่ำวันจันทร์ (3 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 4 ราย โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว
หนังสือพิมพ์เดอะ ฟิลาเดลเฟีย อินไควเรอร์ (The Philadelphia Inquirer) รายงานว่า เมื่อเวลา 20:40 น.ของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวชายต้องสงสัยที่สวมเสื้อกันกระสุน และพบปืนไรเฟิลกับปืนพกในตรอกซอยใกล้เคียง ส่วนผู้ที่ถูกยิงนั้น มี 2 รายเป็นเยาวชน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตด้วยหรือไม่
เหตุกราดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตคิงส์เซสซิง ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองฟิลาเดลเฟีย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากเกิดเหตุกราดยิงที่งานเลี้ยงกลางแจ้งในย่านบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 28 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก
เว็บไซต์ยาฮู นิวส์รายงานว่า เหตุกราดยิงที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐทำให้นานาชาติต่างตระหนักถึงอันตรายจากความรุนแรงของอาวุธปืนที่อาจจะเกิดกับนักท่องเที่ยว
รายงานระบุว่า อย่างน้อย 7 ประเทศได้ออกประกาศคำแนะนำแก่พลเรือนของตัวเองที่มีความประสงค์จะเดินทางไปเยือนสหรัฐ โดยให้เหตุผลถึงความกังวลด้านความปลอดภัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เวเนซุเอลา และอุรุกวัย ต่างเรียกร้องให้มีข้อควรระวังสำหรับนักเดินทางเมื่อไปเยือนสหรัฐ เนื่องจากมีความรุนแรงจากอาวุธปืนเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ข้อมูลจากองค์กร Gun Violence Archive เปิดเผยว่า ในปีนี้มีเหตุกราดยิงเกิดขึ้นมากกว่า 200 ครั้งในสหรัฐ โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐมีเหตุการณ์กราดยิงเกิดขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 600 ครั้งหรืออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง