ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้แสดงความกังวลว่า ปัญหาด้านเศรษฐกิจและประชากรทำให้จีนกลายเป็นระเบิดเวลาที่เป็นภัยคุกคามต่อทั้งโลก
ปธน.ไบเดนกล่าวในเวทีการระดมทุนทางการเมืองซึ่งจัดขึ้นที่เมืองพาร์คซิตี รัฐยูทาห์เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) โดยระบุว่า "จีนกำลังมีปัญหา เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและจำนวนประชากรในวัยเกษียณแซงหน้าประชากรวัยทำงานอย่างมาก จีนมีอัตราว่างงานสูงที่สุดและกำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังมีปัญหาอย่างมาก และอาจส่งผลกระทบกับทั่วโลก" ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของปธน.ไบเดนถือเป็นการกล่าวพาดพิงประเทศคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างจีนที่ค่อนข้างรุนแรง โดยที่ผ่านมานั้น ปธน.ไบเดนพยายามที่จะเดินสายกลางระหว่างการสกัดกั้นการปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่มีเจตนามุ่งร้ายของจีนและความแข็งกร้าวในทะเลจีนใต้ ไปพร้อมกับการสร้างสายสัมพันธ์ทางการทูตกับเหล่าผู้นำจีนและวางรากฐานให้กับความสัมพันธ์ดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ ปธน.ไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่กรุงวอชิงตันว่า สหรัฐไม่ต้องการจะหาเรื่องจีน แต่กำลังเฝ้าจับตากิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังกล่าวเหน็บแนมโครงการ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road)" ของจีนว่าเป็น "หนี้และบ่วง (Debt and Noose)" เนื่องจากเงื่อนไขที่ประเทศต่าง ๆ ต้องยอมรับเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงิน
ในช่วงต้นปี 2566 เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวแข็งแกร่ง หลังจากยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 แต่ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจจีนกลับเผชิญอุปสรรคนานานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง การส่งออกที่ชะลอตัวลง อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่สูงขึ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และสัญญาณล่าสุดคือวิกฤตหนี้สินที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทคันทรี การ์เดน โฮลดิงส์