สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า หลังจากที่นางจอร์เจีย เมโลนี นักการเมืองสายขวาจัด ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิตาลี และสามารถสร้างกระแสนิยมได้มากกว่าบรรดาผู้นำสายกลางของประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป (EU) ได้แล้วนั้น นางเมโลนีก็กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอิตาลี
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารหลักของยุโรปร่วงลง 2.7% ในวันที่ 8 ส.ค. หลังอิตาลีประกาศว่าจะเก็บภาษีลาภลอย 40% กับธนาคารต่าง ๆ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดานักลงทุนอย่างคาดไม่ถึง
นอกจากนี้ สายการบินต่าง ๆ ได้ปฏิเสธมาตรการอื่น ๆ หลังรัฐบาลใหม่มีแผนควบคุมราคาค่าโดยสารเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางบางแห่ง โดยรัฐบาลอิตาลีมีกำหนดจะประชุมกับบรรดาผู้บริหารสายการบินในเดือนหน้า ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กำลังประเมินว่า มาตรการดังกล่าวจะสอดคล้องกับกฎหมายของ EU หรือไม่
นายเฟเดริโก ซานติ นักวิเคราะห์อาวุโสของบริษัทที่ปรึกษายูเรเชีย กรุ๊ป กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า การเก็บภาษีลาภลอยของนางเมโลนี "เป็นก้าวที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ ทั้งในด้านมุมมองและในด้านความเข้าใจ" ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (debt-to-GDP) ของรัฐบาลอิตาลีอยู่ที่ระดับ 144.4% ในปี 2565 โดยคาดว่าจะลดลงเหลือ 140.5% ในปีนี้ และลดลงเหลือ 138.8% ในปี 2567 ซึ่งเศรษฐกิจของอิตาลีมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 1.1% ในปีนี้และ 0.9% ในปี 2567 โดยตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงการลดลงของ GDP จากระดับ 3.7% ในปี 2565