ทางพรรค PKK ยอมรับว่ากลุ่มในสังกัดของตนเป็นผู้ก่อเหตุวางระเบิดในกรุงอังการา ซึ่งผู้ลงมือคนหนึ่งได้จุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย ส่วนอีกคนถูกตำรวจยิงเสียชีวิต และตำรวจเองก็ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน
กระทรวงกลาโหมของตุรกีระบุว่า การโจมตีทางอากาศเล็งเป้าหมายไปที่ถ้ำ คลังเก็บอาวุธ และบังเกอร์ตามจุดต่าง ๆ ของพรรค PKK ใกล้กับชายแดนอิหร่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "กำจัด PKK และกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ ป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายจากทางตอนเหนือของอิรักต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจของเรา ตลอดจนรักษาความปลอดภัยชายแดนของเรา"
การโจมตีทางอากาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเกิดเหตุระเบิดบนถนนอาทาทืร์คบูเลอวาร์ด ในกรุงอังการา เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัฐสภาจะกำหนดให้กลับมาเปิดประชุมสภาต่อหลังจากปิดสมัยประชุมช่วงฤดูร้อน
สำหรับกลุ่มที่อ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายนั้นชื่อว่า "กองพันอมตะ" (Immortals Battalion) โดยให้เหตุผลการลงมือว่าเป็นเพราะที่ตั้งของกระทรวงมหาดไทยอยู่ใกล้กับรัฐสภา การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 09:30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อผู้ลงมือรายหนึ่งออกจากรถแล้วขว้างระเบิดขนาดเล็กใส่ตัวอาคารกระทรวงฯ จากนั้นผู้ลงมือคนที่สองก็ยิงใส่เจ้าหน้าที่และจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย ต่อมา ผู้ก่อเหตุคนแรกถูกตำรวจวิสามัญอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะดังกล่าว อย่างไรก็ดี นายอาลี เยอร์ลิกายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าอาการบาดเจ็บของทั้งสองไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ขณะนี้ทางการกำลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามต้นตอของผู้ก่อเหตุ ซึ่งได้ปล้นรถคันหนึ่งเมื่อวันก่อนหน้า (30 ก.ย.) และสังหารคนขับซึ่งเป็นสัตวแพทย์วัย 24 ปี
ด้านประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน กล่าวว่า การวางระเบิดเป็นการกระทำสิ้นหวังของกลุ่มก่อการร้าย โดยเน้นย้ำว่าพวกนี้ล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมาย
"คนชั่วที่มุ่งทำลายสันติภาพและความมั่นคงของพลเมืองของเราไม่บรรลุเป้าหมาย และจะไม่มีวันทำสำเร็จ" ปธน.เออร์โดกัน กล่าว
อนึ่ง พรรค PKK ซึ่งหลายประเทศมองว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย ยังคงเผชิญกับการปราบปรามอย่างหนักจากเจ้าหน้าที่ตุรกี ทั้งในตุรกีและข้ามพรมแดนไปยังซีเรียและอิรัก โดยพรรค PKK มีเป้าหมายต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชหรือการปกครองตนเองของชาวเคิร์ดมาตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 40,000 คนในความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน