ออสเตรเลียประกาศมาตรการปราบปรามการฉ้อโกงและการแสวงหาผลประโยชน์จากโปรแกรมการย้านถิ่นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเมิดวีซ่านักเรียนและวีซ่าคุ้มครอง ซึ่งนางแคลร์ โอนีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของออสเตรเลียระบุว่าเป็นการกระทำที่ "ร้ายแรงและเป็นระบบ"
นางโอนีลกล่าวในวันนี้ (4 ต.ค.) ณ กรุงแคนเบอร์ราว่า ออสเตรเลียจะจัดตั้งแผนกใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติตามกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง โดยมีการจัดสรรเงินทุนเพิ่มเติมมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (31.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบตรวจคนเข้าเมืองแบบเป็นวงกว้าง โดยจะมีการพิจารณาแบบเป็นวงกว้างก่อนสิ้นปีนี้
นางโอนีลกล่าวกับนักข่าวว่า "ระบบดังกล่าวถูกใช้เพื่อก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ ทั้งการค้าทาสบำเรอกามและการค้ามนุษย์" โดยในรายงานฉ้อโกงการตรวจคนเข้าเมือง ที่เผยแพร่ออกมาในวันนี้เช่นเดียวกัน นางคริสติน นิกสัน อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกการละเมิดเหล่านี้ว่าเป็นเรื่อง "วิตถาร"
นับตั้งแต่ที่ขึ้นกุมอำนาจเมื่อเดือนพ.ค. 2565 รัฐบาลพรรคแรงงานของออสเตรเลียได้แสวงหาแนวทางการปรับปรุงโปรแกรมการตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย หลังมีการย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายหลังการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้กระบวนการขอวีซ่าล่าช้า
รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า จะยกเครื่องระบบของเจ้าหน้าที่ด้านการย้ายถิ่นฐานของออสเตรเลีย ซึ่งมักถูกกลุ่มผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานใช้ประโยชน์ ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งใช้ระบบดังกล่าวในทางที่ผิด
ทั้งนี้ นางโอนีลกล่าวว่า ระบบตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลียในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากเกินไป ทำให้กลายเป็นระบบที่ "ใช้การไม่ได้" สำหรับบุคคลธรรมดา และบริษัทต่าง ๆ ที่พยายามนำเข้าแรงงานมีฝีมือ