ชาวปาเลสไตน์ราว 500 รายถูกสังหารจากเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลอัล-อะฮ์ลี อัล-อาราบี (Al-Ahli al-Arabi) ในเมืองกาซาซิตีเมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) ซึ่งอิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย และจุดชนวนให้เกิดการประท้วงในเขตเวสต์แบงก์และในตะวันออกกลาง
หน่วยงานสาธารณสุขของฉนวนกาซากล่าวว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเป็นสาเหตุของการระเบิดดังกล่าว ในขณะที่กองทัพอิสราเอลระบุว่า เกิดจากการยิงจรวดที่ล้มเหลวของกลุ่มติดอาวุธนักรบญิฮาดของปาเลสไตน์
หัวหน้าฝ่ายป้องกันพลเรือนของฉนวนกาซาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดดังกล่าว 300 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีผู้ถูกสังหาร 500 ราย
หน่วยงานสาธารณสุขระบุว่า ก่อนเกิดการระเบิดขึ้นเมื่อวานนี้ มีผู้เคราะห์ร้ายอย่างน้อย 3,000 รายที่ตกเป็นเหยื่อการปูพรมทิ้งระเบิดตลอด 11 วัน หลังจากที่กลุ่มฮามาสได้บุกโจมตีชุมชนต่าง ๆ ทางตอนใต้ของอิสราเอล ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 1,300 ราย และอีกราว 200 รายถูกจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซา
ทั้งนี้ ฉนวนกาซา ซึ่งมีความยาว 45 กิโลเมตรและเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 2.3 ล้านคน ถูกปกครองโดยกลุ่มฮามาสมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งเป็นกลุ่มที่สหรัฐระบุว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ
เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการเดินทางเยือนอิสราเอลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐเพื่อแสดงการสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาส และรับฟังแผนลดการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนของอิสราเอล โดยเป้าหมายประการหนึ่งของสหรัฐคือ การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย
นอกจากนี้ เหตุระเบิดดังกล่าวยังก่อให้เกิดการประณามจากทั่วโลกอาหรับ และการประท้วงหน้าสถานทูตอิสราเอลในตุรกีและจอร์แดน และพื้นที่ใกล้กับสถานทูตสหรัฐประจำเลบานอน ซึ่งทำให้กองกำลังรักษาความมั่นคงต้องยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วง