สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า กองทัพสหรัฐในญี่ปุ่นได้เริ่มซื้ออาหารทะเลของญี่ปุ่นในปริมาณมาก เพื่อช่วยรับมือกับการที่จีนสั่งแบนการนำเข้าอาหารทะเลของญี่ปุ่น หลังจากญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล
นายราห์ม เอ็มมานูเอล เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำญี่ปุ่นยังกล่าวอีกว่า สหรัฐอาจมองหาแนวทางอื่น ๆ เพื่อช่วยในการตอบโต้การแบนของจีน โดยระบุว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเศรษฐกิจของจีน
ทั้งนี้ จีนซึ่งเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นระบุว่า จีนห้ามการนำเข้าอาหารทะเลของญี่ปุ่น เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย
เมื่อปีที่แล้ว ญี่ปุ่นได้ส่งออกหอยเชลล์ไปยังจีนมากกว่า 100,000 ตัน ซึ่งการซื้อสินค้าภายใต้แผนดังกล่าวเป็นครั้งแรกของสหรัฐนั้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของปริมาณดังกล่าว โดยมีปริมาณการสั่งซื้อต่ำกว่า 1 ตัน
นายเอ็มมานูเอลกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า นี่เป็นจุดเริ่มของการลงนามระยะยาวที่จะขยายระยะเวลาออกไปครอบคลุมอาหารทะเลทุกประเภทเมื่อเวลาผ่านไป โดยการซื้อในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นอาหารให้กับบุคลากรทางการทหารและจำหน่ายให้กับร้านค้าและร้านอาหารต่าง ๆ ที่ฐานประจำการของกองทัพในญี่ปุ่น
นายเอ็มมานูลเอลกล่าวว่า "มันกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาระยะยาวระหว่างกองทัพสหรัฐและการประมงและสหกรณ์ของญี่ปุ่น" และเสริมว่า "แนวทางที่ดีที่สุดที่เราได้พิสูจน์แล้วในการลดการบีบบังคับทางเศรษฐกิจของจีนคือ การมอบความช่วยเหลือให้แก่ประเทศหรืออุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมาย"
นายเอ็มมานูเอลระบุว่า ก่อนหน้านี้ กองทัพสหรัฐไม่เคยซื้ออาหารทะเลของญี่ปุ่น และสหรัฐอาจพิจารณานำเข้าปลาจากญี่ปุ่นและจีนด้วย
ทั้งนี้ ในการตอบโต้ถ้อยแถลงของนายเอ็มมานูเอลนั้น นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ว่า "ความรับผิดชอบของนักการทูตคือการส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสีประเทศอื่น ๆ และสร้างความปั่นป่วน"