บรรดาผู้นำหน่วยงานของสหประชาชาติ (UN) และองค์กรด้านมนุษยธรรมออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวานนี้เพื่อเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมทันทีในฉนวนกาซา
กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ซึ่งดูแลโดยกลุ่มฮามาสเปิดเผยเมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) ว่า มีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 10,000 คนเสียชีวิตจากการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอลนับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.
กระทรวงฯ ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตลอดการสู้รบ 31 วันอยู่ที่ 10,022 รายโดยในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็ก 4,102 ราย
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN กล่าวว่า การปกป้องพลเรือน "เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง" ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ พร้อมเตือนว่า ฉนวนกาซากำลังกลายเป็น "สุสานเด็ก"
นายกูเตอร์เรสกล่าวกับนักข่าวว่า "ปฏิบัติการภาคพื้นดินของกองกำลังอิสราเอลและการปูพรมทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อพลเรือน โรงพยาบาล ค่ายผู้ลี้ภัย มัสยิด โบสถ์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ของ UN ซึ่งรวมถึงที่หลบภัย ไม่มีใครปลอดภัยแล้ว" และเสริมว่า "ขณะเดียวกัน ฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ได้ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์และเดินหน้ายิงจรวดใส่อิสราเอลอย่างไม่เลือกหน้า"
ทั้งนี้ นายกูเตอร์เรสระบุว่า มีผู้ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของ UN ในฉนวนกาซาเสียชีวิต 89 คน ซึ่งจำนวนดังกล่าวนับเป็นยอดผู้เสียชีวิตสูงสุดสำหรับเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของ UN ซึ่งสูงกว่าทุกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ขององค์กร
รถบรรทุกความช่วยเหลือกำลังเดินทางเข้าสู่ฉนวนกาซาด้วยการข้ามชายแดนเมืองราฟาห์ของประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นทางหลักที่ไม่ติดกับพรมแดนของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ UN ระบุหลายต่อหลายครั้งว่า ความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่เพียงพอสำหรับประชากรจำนวน 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซา ซึ่งประชากรมากกว่า 1 ล้านคนในจำนวนนี้ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นเนื่องจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอล