ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนแถลงข่าวในวันพุธ (15 พ.ย.) หลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกับปธน.สีว่า จีนกับสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงหลายประการ เช่น การที่จีนสัญญาว่าจะกลับมาเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างกองทัพของสองประเทศ ซึ่งจีนเป็นฝ่ายปิดลงเพื่อตอบโต้ต่อกรณีที่นางแนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้เดินทางเยือนไต้หวันในเดือนส.ค. 2565
ขณะเดียวกัน จีนยังเห็นพ้องในหลักการในการกวาดล้างการส่งออกสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิลไปยังเม็กซิโก โดยเฟนทานิลเป็นสารเสพติดในกลุ่มโอปิออยด์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นและแพร่ระบาดในสหรัฐ
ปธน.ไบเดนและปธน.สีหารือกันประมาณ 4 ชั่วโมงในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ปธน.ไบเดนก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2564 โดยทั้งคู่พยายามจะสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งแตะจุดตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ในปี 2522
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทวีความร้อนแรงขึ้นจากประเด็นต่าง ๆ โดยสหรัฐวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมทางทหารรอบเกาะไต้หวันของจีน การที่จีนขยายคลังแสงสรรพาวุธนิวเคลียร์ และวิธีที่จีนปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง
ส่วนจีนวิตกกังวลกรณีที่จีนควบคุมการส่งออกและออกมาตรการจำกัดอื่น ๆ ซึ่งทำให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยของสหรัฐยากขึ้น เช่น ชิปสำหรับการคำนวณเชิงควอนตัมและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถใช้ในการทหาร