นายเพตเตรี ออร์โป นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ เปิดเผยในการแถลงข่าวในวันพุธ (22 พ.ย.) ว่า ฟินแลนด์จะปิดพรมแดนทั้งหมด ยกเว้นจุดผ่านแดนทางเหนือสุดของประเทศที่ติดกับรัสเซีย นับตั้งแต่วันศุกร์ (24 พ.ย.) เป็นต้นไป ด้วยความหวังที่จะยับยั้งกระแสผู้ขอลี้ภัยในประเทศ และรัฐบาลตัดสินใจที่จะปิดด่านข้ามแดนเพิ่มเติม
นับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. ผู้คนมากกว่า 600 คน ที่ไม่มีเอกสารเดินทางเข้าสู่สหภาพยุโรปอย่างถูกต้อง ได้เดินทางมายังฟินแลนด์ผ่านรัสเซีย ส่งผลให้ทางการฟินแลนด์ตัดสินใจปิดจุดผ่านแดนหลายแห่ง พร้อมกล่าวหารัสเซียว่า เป็นชักนำกลุ่มผู้อพยพ ซึ่งรัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ผู้ขอลี้ภัยในฟินแลนด์เป็นประชากรหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึง เยเมน อัฟกานิสถาน โมร็อกโก ปากีสถาน โซมาเลีย และซีเรีย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายแดนฟินแลนด์ระบุในวันพุธ (22 พ.ย.) ว่า การจัดการให้ผู้คนเดินทางเข้าประเทศฟินแลนด์อย่างผิดกฎหมายบริเวณชายแดนรัสเซียได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเคลื่อนตัวไปตามตามแนวชายแดนทางตอนเหนือ เป็นระยะทาง 1,340 กิโลเมตร ไปยังวาร์เทียสและซัลลา ซึ่งเป็นสถานีชายแดน 2 แห่งที่ยังคงดำเนินการรับคำขอลี้ภัย
นายออร์โป ระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์ที่ชายแดนทางตะวันออกกำลังเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ ฟินแลนด์จะปิดจุดผ่านแดน 3 จุด จาก 4 จุด ที่ยังเปิดให้บริการ ในเวลาเที่ยงคืนของวันศุกร์ ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงจุดผ่านแดนรายา-จูเซปปี เพียงแห่งเดียวที่ยังคงเปิดอยู่
ด้านทำเนียบเครมลินระบุเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ย.) ว่า รัสเซียได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการเพื่อต่อต้านการปิดพรมแดนบางส่วน โดยให้เหตุผลว่าการตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน