อิสราเอลเผชิญการโดดเดี่ยวทางการทูตมากขึ้นในการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส ขณะที่สหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในฉนวนกาซาในทันที อีกทั้ง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐกล่าวกับอิสราเอลว่า การปูพรมทิ้งระเบิดใส่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้ากำลังบั่นทอนการสนับสนุนจากนานาชาติ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่ง UN ผ่านร่างมติเรียกร้องให้มีการหยุดยิง โดยมีประเทศสมาชิก 3 ใน 4 โหวตเห็นชอบ หลังจากได้รับคำเตือนที่น่ากังวลจากเจ้าหน้าที่ UN เกี่ยวกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในฉนวนกาซา
ขณะเดียวกัน ผู้นำของแคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ระบุในแถลงการณ์ร่วมอีกฉบับซึ่งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงว่า "ราคาที่ต้องจ่ายในการโค่นล้มกลุ่มฮามาสต้องไม่ใช่ความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องของพลเรือนปาเลสไตน์"
ด้านทางการปาเลสไตน์แสดงความยินดีต่อมติดังกล่าวและวอนนานาประเทศกดดันอิสราเอลให้ปฏิบัติตามมติ อิซซาต เอล-เรชิก เจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮามาสระบุในแถลงการณ์ผ่านเทเลแกรมว่า "อิสราเอลควรยุติการรุกราน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการกวาดล้างชาติพันธุ์ที่กระทำต่อประชาชนของเรา"
ทั้งนี้ สหรัฐและอิสราเอล ซึ่งโต้แย้งว่าการหยุดยิงเป็นผลดีต่อกลุ่มฮามาสเพียงฝ่ายเดียว ได้โหวตไม่เห็นชอบมติดังกล่าวร่วมกับอีก 8 ประเทศ
รายงานระบุว่า ก่อนที่จะมีการลงมติดังกล่าว ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ตอนนี้อิสราเอลได้รับการสนับสนุนจากเกือบทั้งโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐและสหภาพยุโรป (EU) ในการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสของปาเลสไตน์
อย่างไรก็ตาม ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงวอชิงตันว่า ปธน.ไบเดนระบุว่า "อิสราเอลกำลังเริ่มสูญเสียการสนับสนุน อันเนื่องมาจากการทิ้งระเบิดแบบไม่เลือกหน้าที่เกิดขึ้น"