สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อินโดนีเซียสั่งการให้ทหารช่วยเหลือชาวนาในการเพาะปลูกข้าว เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงทำให้จำนวนผลผลิตข้าวในประเทศลดลง ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องเพิ่มการนำเข้าข้าวในช่วงที่ราคาพุ่งสูงขึ้น และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอาหาร
ในการเพาะปลูกที่ล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากความแห้งแล้งอันเกิดจากสภาพอากาศแบบเอลนีโญ ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซียได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารชั้นประทวนในหมู่บ้านต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า บาบินซา (Babinsa) ช่วยเหลือในการเพาะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากฝนที่ตกเมื่อเร็ว ๆ นี้
วิดีโอบนแชนแนลยูทูบของปธน.เผยให้เห็นว่า ปธน.วิโดโด กล่าวระหว่างการเดินทางเยือนเขตเปอกาโลงันในจังหวัดชวากลางเมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ว่า "เนื่องจากฝนที่ตกในบางจังหวัด เราจึงต้องการส่งเสริมให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าว"
"การเพาะปลูกข้าวล่าช้าเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ แต่เราต้องการปลูก ปลูก ปลูก เดี๋ยวนี้เลย" ปธน.วิโดโดกล่าวขณะยืนอยู่ข้างนาข้าวที่เพิ่งปลูกใหม่
ทั้งนี้ อุปทานข้าวทั่วโลกตึงตัวมากยิ่งขึ้นในปีนี้เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งมักก่อให้เกิดสภาพอากาศที่ร้อนแห้งแล้งกว่าปกติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ผลผลิตในประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญลดลง โดยราคาข้าวในศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญหลายแห่งของเอเชียเพิ่มขึ้นถึง 45% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี หลังจากที่อินเดีย ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ข้าวชั้นนำของโลกประกาศจำกัดการส่งออก
ภัยแล้งทำให้การเพาะปลูกสำหรับการเก็บเกี่ยวในปี 2567 ของอินโดนีเซียล่าช้า หลังจากที่ผลผลิตข้าวในประเทศในปีนี้ลดลงเหลือ 30.9 ล้านเมตริกตัน จาก 31.53 ล้านเมตริกตันเมื่อปีที่แล้ว