สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายความมั่นคง เพิ่มค่าใช้จ่ายกลาโหม มุ่งคานอิทธิพลจีน

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมากกว่า 2 ใน 3 มีมติผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (National Defense Authorization Act หรือ NDAA) ประจำปี 2567 เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) ซึ่งมีวงเงินสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 8.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการใช้จ่ายทางทหารประจำปี และการอนุมัตินโยบายต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือยูเครน และการคานอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 118 เสียง โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสมาชิกสภาของทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต และได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ซึ่งจำเป็นสำหรับการผ่านร่างไปยังนายโจ ไบเดน ประธานาธิบสหรัฐ เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายเป็นลำดับต่อไป

กฎหมายความมั่นคงแห่งชาตินั้นแยกออกจากกฎหมายงบประมาณแผ่นดินที่กำหนดระดับการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติจะอนุมัติการใช้จ่ายทางทหารทุกประการ ตั้งแต่การปรับขึ้นค่าจ้างทหาร ซึ่งในปีนี้จะอยู่ที่ 5.2% รวมถึงการซื้ออาวุธ เรือ และเครื่องบิน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เนื่องจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเป็นหนึ่งในกฎหมายหลักไม่กี่ฉบับที่ต้องลงนามทุกปี สมาชิกสภาคองเกรสจึงใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำหรับโครงการริเริ่มต่าง ๆ นอกจากนี้แล้ว กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติยังเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดจากบรรดาบริษัทด้านกลาโหมรายใหญ่ เช่น ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) อาร์ทีเอ็กซ์ คอร์ป (RTX Corp) และบริษัทอื่น ๆ ที่มีการทำสัญญากับกระทรวงกลาโหม

การลงมติในปีนี้ได้อนุมัติร่างกฎหมายที่มีความยาวเกือบ 3,100 หน้า และอนุมัติการใช้จ่ายทางการทหารสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.86 แสนล้านดอลล์ เพิ่มขึ้น 3% จากปีที่แล้ว โดยสภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมาแล้ว 63 ปีติดต่อกัน

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติขั้นสุดท้าย ได้ละเว้นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมที่เป็นข้อถกเถียง เช่น การเข้าถึงการทำแท้ง และการปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ในกองทัพที่เป็นบุคคลข้ามเพศ โดยบทบัญญัติเหล่านี้เดิมรวมอยู่ในร่างกฎหมายที่ผ่านโดยสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏร แต่สมาชิกพรรคเดโมแครตคัดค้าน และขู่ว่าจะยับยั้งการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว