กระทรวงการต่างประเทศซีเรียออกแถลงการณ์ประณามการที่สหรัฐใช้สิทธิวีโต้ร่างมติของแอลจีเรียที่เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วานนี้ โดยร่างมติดังกล่าวเรียกร้องให้อิสราเอลทำการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันที
แถลงการณ์ระบุว่า ท่าทีดังกล่าวของสหรัฐถือเป็นการสนับสนุนให้อิสราเอลก่ออาชญากรรมสงครามต่อชาวปาเลสไตน์
นอกจากนี้ ซีเรียกล่าวหาว่าสหรัฐว่ามีท่าทีเสแสร้ง โดยในด้านหนึ่งสหรัฐให้การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน แต่อีกด้านหนึ่งกลับปล่อยให้อิสราเอลทำตัวเหมือน "เครื่องจักรสังหาร" ในการโจมตีต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์
ทั้งนี้ สมาชิก 13 ชาติของ UNSC ให้การรับรองร่างมติของแอลจีเรีย ขณะที่อังกฤษงดออกเสียง
การดำเนินการดังกล่าวของสหรัฐถือเป็นการใช้สิทธิวีโต้เป็นครั้งที่ 3 ต่อร่างมติเรียกร้องให้มีการหยุดยิงที่มีการเสนอต่อ UNSC นับตั้งแต่มีการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ต.ค.2566
นางลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐประจำ UN กล่าวว่า สหรัฐไม่สามารถให้การรับรองร่างมติของแอลจีเรีย เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาระหว่างสหรัฐ อียิปต์ อิสราเอล และกาตาร์ในความพยายามให้มีการพักรบและปล่อยตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวในฉนวนกาซา
"การเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข โดยไม่มีการทำข้อตกลงระบุให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันจะไม่สามารถทำให้เกิดสันติภาพอย่างถาวร แต่กลับจะทำให้สงครามยืดเยื้ออกไป" นางโทมัส-กรีนฟิลด์กล่าว
ขณะเดียวกัน สหรัฐได้จัดทำร่างมติของตนเองต่อ UNSC เพื่อให้มีการหยุดยิงชั่วคราวในฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด ขณะที่คัดค้านการที่อิสราเอลจะใช้ปฏิบัติการภาคพื้นดินต่อเมืองราฟาห์
ร่างมติของสหรัฐระบุว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การที่อิสราเอลใช้ปฏิบัติการภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์จะเป็นอันตรายต่อพลเรือน และการอพยพลี้ภัยของประชากรดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน และจะบั่นทอนสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ดังนั้นปฏิบัติการภาคพื้นดินจึงไม่ควรเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ร่างมติของสหรัฐจะถูกบรรจุเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงใน UNSC เมื่อใด