ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เตรียมแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรส ซึ่งจะเป็นการกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ และชาวอเมริกันทั่วประเทศเป็นปีสุดท้ายของเขา ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.2567
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนจะกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ (7 มี.ค.) เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.) เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย
การแถลงนโยบายประจำปีดังกล่าวจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ต่อชาวอเมริกันทั่วประเทศ ขณะที่สำนักข่าว CNN จะออกอากาศสดไปทั่วโลก โดยจะมีการจับตาถ้อยแถลงของปธน.ไบเดนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายของสหรัฐ ท่ามกลางสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ขณะที่รัสเซียยังคงใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน รวมทั้งความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และคาบสมุทรเกาหลี
คาดว่าปธน.ไบเดนจะใช้โอกาสนี้ในการกล่าวปราศรัยเรียกคะแนนเสียงจากชาวอเมริกัน ท่ามกลางความวิตกที่ว่าเขาจะสูญเสียความนิยมจากชาวอเมริกันที่คัดค้านการที่อิสราเอลทำสงครามในฉนวนกาซา
นอกจากนี้ การเลือกตั้งในครั้งนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของปธน.ไบเดน โดยคู่แข่งของเขาก็คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน และจะถือเป็นการรีแมทช์คู่ชิงประธานาธิบดีในปี 2563 หลังจากที่นางนิกกี เฮลีย์ อดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา ประกาศถอนตัวอย่างเป็นทางการจากการแข่งขันเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ปธน.ไบเดนจะใช้โอกาสในการกล่าวแถลงการณ์ประจำปีดังกล่าวพูดถึงผลงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลง และอัตราว่างงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนจะไม่ลืมในการใช้โอกาสนี้โจมตีนายทรัมป์ว่าเป็นภัยคุกคามสหรัฐ หลังเป็นผู้นำในการกล่าวยุยงให้กลุ่มผู้สนับสนุนเข้าก่อเหตุจลาจลที่สภาคองเกรสในปี 2564 เพื่อหวังคว่ำผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2563
หากปธน.ไบเดนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ โดยได้ครองทำเนียบขาวต่ออีก 4 ปี ก็จะทำให้เขามีอายุ 86 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 มากกว่าอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนที่มีอายุ 77 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ในปี 2532
อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจของ New York Times/Siena College พบว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสูงถึง 48% ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับคะแนนนิยมเพียง 43%
ผลการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของปธน.ไบเดน และไม่พอใจต่อการบริหารประเทศ รวมทั้งการที่ผู้นำสหรัฐมีนโยบายสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามในฉนวนกาซา
อย่างไรก็ดี ปธน.ไบเดนมีความได้เปรียบนายทรัมป์จากการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนการเลือกตั้งจากกลุ่มทุนต่างๆ และการที่นายทรัมป์ยังคงเผชิญคดีความจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.