เจ้าหน้าที่อิสราเอลเปิดเผยเมื่อวันพุธ (13 มี.ค.) ว่า อิสราเอลจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารในเมืองราฟาห์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา และเป็นที่พักพิงของชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นราว 1.4 ล้านคน โดยอิสราเอลจะอพยพประชาชนเกือบทั้งหมดออกไปก่อนเปิดฉากโจมตี
พลเรือตรีดาเนียล ฮาการี โฆษกของกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) แถลงข่าวว่า กองทัพอิสราเอลตั้งใจจะนำประชาชนในเมืองราฟาห์ไปยัง "หมู่เกาะเพื่อมนุษยธรรม" (humanitarian islands) ที่อิสราเอลเตรียมสร้างขึ้นร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศในพื้นที่ตอนกลางของฉนวนกาซา ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการโจมตี
พลเรือตรีฮาการีระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวจะมีปัจจัยขั้นพื้นฐานทั้งที่อยู่อาศัย อาหาร และน้ำ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้ระบุวันที่จะเริ่มอพยพประชาชนออกจากเมืองราฟาห์ หรือวันที่จะเริ่มการโจมตีตามแผน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประชาคมระหว่างประเทศและองค์กรด้านมนุษยธรรมหลายแห่งต่างแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการภาคพื้นดินในราฟาห์ ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีผู้พลัดถิ่นอาศัยอยู่หนาแน่น ทั้งยังเป็นช่องทางหลักของฉนวนกาซาในการรับสิ่งของช่วยเหลือจำเป็นจากอียิปต์อีกด้วย โดยมีการเตือนว่าปฏิบัติการทางทหารในเมืองราฟาห์จะส่งผลให้เกิดหายนะด้านมนุษยธรรม
ในช่วงเช้าวันเดียวกัน นายโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ได้ไปเยือนฉนวนกาซาเพื่อประเมินสถานการณ์
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวย้ำหลายครั้งว่ากองทัพอิสราเอลจะขยายการโจมตีไปยังเมืองราฟาห์ ซึ่งอิสราเอลเชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสบางส่วนซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน
การที่อิสราเอลโจมตีฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่องตลอด 5 เดือนทำให้ดินแดนดังกล่าวส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย และส่งผลให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
องค์การสหประชาชาติเตือนว่า ประมาณหนึ่งในสี่ของประชากร 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซาเสี่ยงเผชิญความอดอยาก
กระทรวงสาธารณสุขของกลุ่มฮามาสรายงานว่า นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการตอบโต้เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 31,272 คนถูกสังหารในฉนวนกาซา โดยมากกว่า 75% เป็นพลเรือน นอกจากนั้นยังมีผู้สูญหายมากกว่า 7,000 คน โดยเชื่อว่าติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่ถูกทิ้งระเบิด