สหภาพยุโรป (EU) ได้ตกลงให้เงินสนับสนุนแก่อียิปต์จำนวน 7.4 พันล้านยูโร (8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตลอดช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของอียิปต์และลดจำนวนผู้อพยพที่เดินทางเข้ายุโรป ข้อตกลงนี้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับ EU ขึ้นสู่การเป็น "หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์" อีกทั้งมีเป้าหมายส่งเสริมความร่วมมือในหลากหลายด้าน อาทิ พลังงานหมุนเวียน การค้า และความมั่นคง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (17 มี.ค.) ว่า แพ็คเกจเงินสนับสนุนนี้ประกอบด้วยเงินกู้แบบผ่อนปรน 5 พันล้านยูโร เงินลงทุน 1.8 พันล้านยูโร และเงินให้เปล่า 600 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้มีการจัดสรรเงิน 200 ล้านยูโรไว้สำหรับการบริหารจัดการด้านการอพยพโดยเฉพาะ
ผู้นำชาติยุโรป อาทิ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC), นายกรัฐมนตรีของอิตาลี, กรีซ, ออสเตรีย และเบลเยียม รวมถึงประธานาธิบดีไซปรัส ได้เดินทางเยือนกรุงไคโรเพื่อประกาศถึงข้อตกลงดังกล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงเช่นนี้ในการแก้ไขปัญหาการอพยพ
ทั้งนี้ ประเทศอียิปต์ที่มีประชากร 106 ล้านคน ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ จนนำไปสู่จำนวนคนอพยพไปต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปมากขึ้น ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของอียิปต์ได้รับการตอกย้ำผ่านบทบาทการทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส และวิกฤตผู้อพยพในประเทศซูดานที่อยู่ข้างเคียง
เงินสนับสนุนจากอียูดังกล่าวผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เงินส่วนใหญ่นั้นเพิ่งได้รับการจัดสรร โดยมีเงินกู้จำนวน 1 พันล้านยูโรที่จะถูกส่งมอบในปีนี้ ขณะที่เงินกู้ 4 พันล้านยูโรที่เหลืออยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐสภายุโรป
นอกจากนี้ ข้อตกลงยังมุ่งหมายป้องกันการเปิดเส้นทางการอพยพใหม่อีกด้วย โดยเฉพาะเส้นทางการอพยพจากอียิปต์ไปยังยุโรปผ่านประเทศลิเบีย
อย่างไรก็ตาม การที่ EU สนับสนุนรัฐบาลประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตะห์ อัล ซิซี ของอียิปต์นั้น ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากเหล่านักเคลื่อนไหว รัฐบาลอียิปต์มีการปราบปรามผู้เห็นต่างและเข้าควบคุมเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้าน EU ยังคงยืนยันว่าการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนกับอียิปต์นี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพต่าง ๆ ถึงกระนั้น องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวทาง EU ในการเสนอเงินทุนเพื่อแลกกับการควบคุมปัญหาผู้อพยพจากประเทศอย่างอียิปต์และตูนิเซีย
"พิมพ์เขียวนี้คล้ายกับข้อตกลงที่บกพร่องของ EU กับตูนิเซียและมอริเตเนีย นั่นคือ สกัดกั้นผู้อพยพ โดยเพิกเฉยต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบ" องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) กล่าว