นายอาเมียร์ ยารอน ผู้ว่าการธนาคารกลางอิสราเอล ได้ออกมาเตือนว่า การใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นของอิสราเอล ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น
นายยารอนระบุว่า การสู้รบกับกลุ่มฮามาสที่ย่างเข้าสู่เดือนที่ 7 สร้างภาระให้กับภาคการเงินและทำให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้กู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนการสู้รบดังกล่าว โดยอัตราส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น 1.4% สู่ระดับ 61.9% ในช่วงสิ้นปี 2566 กำลังส่งผลเสียต่อสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ ของประเทศ
นายยารอนกล่าวหลังส่งมอบรายงานประจำปีของธนาคารกลางต่อนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) ว่า "การประมาณการของตลาดต่าง ๆ ที่มองว่า อิสราเอลกำลังมุ่งสู่หนทางแห่งการสร้างหนี้มากขึ้นทั้งในระยะกลางและระยะยาว อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทน การลดค่าเงิน และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความขัดแย้งของอิสราเอลในฉนวนกาซาทำให้งบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในปี 2567 และรัฐบาลได้เห็นพ้องกันแล้วว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายขึ้นอีก 1 หมื่นล้านเชเขล (2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีตั้งแต่ปี 2568 ในขณะที่บางส่วนโต้แย้งว่าควรเพิ่มการใช้จ่ายขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
ก่อนหน้านี้ นายยารอนได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อให้จัดทำแผนงบประมาณหลายปีได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะคำนึงถึงผลกระทบต่าง ๆ ต่อเศรษฐกิจ
นายเนทันยาฮูกล่าวหลังจากที่ได้รับรายงานนี้ว่า อิสราเอลจำเป็นต้องปรับงบประมาณ "ให้เหมาะสมกับการสู้รบในครั้งนี้" พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลพึ่งพาตนเองในการผลิตอาวุธให้มากขึ้น