สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยสำนักข่าว ABC News รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งว่า อิสราเอลได้ยิงขีปนาวุธโจมตีดินแดนของอิหร่านในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากอิหร่านใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในประเทศซีเรีย
ขณะที่ฟาร์นิวส์ซึ่งเป็นสำนักข่าวกึ่งทางการของอิหร่านรายงานว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่สนามบินในเมืองอิสฟาฮานของอิหร่าน แต่ยังไม่ทราบสาเหตุของการระเบิด โดยเมืองอิสฟาฮานเป็นที่ตั้งของโรงงานนิวเคลียร์หลายแห่งของอิหร่าน รวมถึงโรงงานนิวเคลียร์นาทาซ์ ซึ่งเป็นโรงงานนิวเคลียร์ที่มีการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม
ด้านสำนักข่าว CNN รายงานว่า ขณะนี้เที่ยวบินต่าง ๆ ได้พากันหลีกเลี่ยงการบินเหนือน่านฟ้าของอิหร่าน ขณะที่สำนักข่าว IRNA ของทางการอิหร่านรายงานว่า อิหร่านได้สั่งระงับเที่ยวบินและได้เปิดระบบป้องกันภัยทางอากาศในหลายเมือง
ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 เม.ย.) อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนกว่า 300 ลูกโจมตีอิสราเอล เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในประเทศซีเรียจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ซึ่งรวมถึงนายโมฮัมหมัด เรซา ซาเฮดี ผู้บัญชาการระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่าน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่อิหร่านทำการโจมตีอิสราเอลโดยตรง
แม้ว่าการโจมตีในวันดังกล่าวจะไม่มีผู้เสียชีวิตและสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไอออนโดม (Iron Dome) ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลสามารถยิงสกัดขีปนาวุธและโดรนของอิหร่านได้ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลว่าความขัดแย้งที่เคยจำกัดอยู่ในฉนวนกาซาจะลุกลามเป็นวงกว้าง และอาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านซึ่งเป็นศัตรูกันมานาน
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลไม่เพียงแตะจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยในช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 500 จุด ขณะที่ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้น 28.50 ดอลลาร์ หรือ 1.19% แตะที่ระดับ 2,426.50 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้น 2.61 ดอลลาร์ หรือ 3.15% แตะที่ระดับ 85.34 ดอลลาร์/บาร์เรล