นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต (NATO) เปิดเผยว่า ประเทศสมาชิกนาโตกว่า 20 ประเทศจะบรรลุเป้าหมายการจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมอย่างน้อย 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าชาติพันธมิตรของนาโตพร้อมใจกันเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารนับตั้งแต่ที่รัสเซียเข้ายึดดินแดนครองไครเมียจากยูเครนในปี 2557
นายสโตลเทนเบิร์กกล่าวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) ว่า มีสมาชิกนาโตจำนวนมากขึ้นที่บรรลุเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมเมื่อเทียบกับการบรรลุเป้าหมายไม่ถึง 10 ประเทศเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
"พันธมิตรนาโตทั่วยุโรปและแคนาดาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้น 18% นับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบหลายสิบปี และมีสมาชิก 23 ประเทศที่กำลังจะมีการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่ 2% ของ GDP หรือมากกว่าในปีนี้" นายสโตลเทนเบิร์กกล่าว
นายสโตลเทนเบิร์กกล่าวก่อนหน้านี้ที่วิลสัน เซนเตอร์ว่า การใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้นของชาติพันธมิตร "เป็นผลดีต่อยุโรปและสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเงินพิเศษจำนวนมากนี้ใช้จ่ายในสหรัฐ"
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายสโตลเทนเบิร์กอยู่ในกรุงวอชิงตันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมสุดยอดนาโตในสหรัฐในเดือนหน้า โดยปธน.ไบเดนกล่าวว่า ชาติพันธมิตรนาโตกำลังเผชิญช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยูเครนกำลังสู้รบกับกองกำลังของรัสเซีย
นายสโตลเทนเบิร์กกล่าวว่า เมื่อครั้งที่บรรดาผู้นำนาโตตั้งเป้าการใช้จ่ายไว้ที่ 2% ของ GDP ในการประชุมปี 2557 นั้น มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าวซึ่งได้แก่ สหรัฐ กรีซ และอังกฤษ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว นาโตมีสมาชิก 28 ประเทศ และในขณะนี้มีสมาชิก 32 ประเทศ