ธนาคารกลางเมียนมาปฏิเสธรายงานของสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า รัฐบาลทหารเมียนมาสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและอาวุธในการสู้รบกับกองกำลังต่อต้านการรัฐประหาร โดยระบุว่า สถาบันการเงินต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารฯ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
ธนาคารกลางเมียนมาระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ออกมาในหนังสือพิมพ์ของรัฐบาลทหารเมื่อวันเสาร์ (29 มิ.ย.) ว่า ทางธนาคารฯ "ขอคัดค้านรายงานพิเศษของ UN อย่างจริงจัง รายงานฉบับดังกล่าวของ UN ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของพลเรือนเมียนมาและความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับชาติอื่น ๆ อย่างรุนแรง"
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังรายงานฉบับใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ (UN) พบว่า ธนาคารระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกแก่รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ในการจัดหาอาวุธโจมตีประชาชนอย่างเป็นระบบและร้ายแรง
นายทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาของ UN ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (26 มิ.ย.) ว่า ปัจจุบัน ธนาคารในประเทศไทยได้กลายมาเป็นช่องทางหลักแก่กองทัพเมียนมาเพื่อซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ ที่ใช้ในสงครามกลางเมืองที่กินเวลานานกว่า 3 ปี และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ ตลอดจนสังหารพลเรือนมากกว่า 5,000 ราย
รายงานดังกล่าวระบุว่า มีธนาคาร 16 แห่งใน 7 ประเทศที่ดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารของรัฐบาลทหารในช่วงปีที่ผ่านมา มูลค่าถึง 253 ล้านดอลลาร์ในช่วงระหว่างเดือนเม.ย. 66 - มี.ค. 67
ทั้งนี้ เมียนมาเผชิญกับความวุ่นวายนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2564 เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลของนางอองซาน ซูจี ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยกองทัพยังคงเผชิญกับความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงหลายครั้ง และต้องรับมือกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่กำลังพังทลาย