ฝรั่งเศสอาจถึงทางตันทางการเมือง หลังผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ก.ค.) ปรากฏว่าไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากในสภา ส่งผลให้เกิดสภาวะ "รัฐสภาแขวน" โดยกลุ่มพันธมิตรฝ่ายซ้ายแนวร่วมประชาชนใหม่ (NFP) พลิกโผคว้าอันดับหนึ่ง แซงหน้าฝ่ายขวาจัด
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการยังคงทยอยออกมา คาดว่าน่าจะทราบผลของทุกเขตเลือกตั้งภายในช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นก่อนหน้านี้ ซึ่งมักมีความแม่นยำในระดับหนึ่ง คาดการณ์ว่าฝ่ายซ้ายจะได้ที่นั่งในสภา 184-198 ที่นั่ง กลุ่มพันธมิตรสายกลางของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จะได้ 160-169 ที่นั่ง ส่วนพรรคเนชันแนล แรลลี (RN) และพันธมิตรจะได้ 135-143 ที่นั่ง
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรค RN ของนางมารีน เลอ เปน ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมและต่อต้านสหภาพยุโรป (EU) โดยก่อนหน้านี้ผลโพลชี้ว่าพรรค RN จะชนะการเลือกตั้งรอบ 2 แต่สุดท้ายกลับตกไปอยู่อันดับ 3
นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการทำลายแผนการเมืองของปธน.มาครง ผู้นำฝ่ายกลาง ที่ตัดสินใจจัดการเลือกตั้งกะทันหัน เพื่อหวังจัดระเบียบภูมิทัศน์ทางการเมืองเสียใหม่ หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรของเขาพ่ายแพ้ต่อพรรค RN ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปเมื่อเดือนที่แล้ว
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นผลตรงกันข้าม เพราะตอนนี้ปธน.มาครงต้องเผชิญกับรัฐสภาที่มีความแตกแยกอย่างหนัก ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อบทบาทของฝรั่งเศสทั้งใน EU และในเวทีโลก และยังเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้รัฐสภาฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วอำนาจหลัก คือ ฝ่ายซ้าย ฝ่ายกลาง และฝ่ายขวาจัด ซึ่งแต่ละขั้วต่างก็มีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและไม่เคยมีประวัติการทำงานร่วมกันมาก่อน
อนีกา กุปตา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์มหภาคของ WisdomTree กล่าวว่า "เราอาจเห็นตลาดพักตัวชั่วคราว ? เพราะพรรคขวาจัด RN ก็ไม่ได้เสียงข้างมาก แต่สถานการณ์แบบนี้น่าจะทำให้การเมืองฝรั่งเศสเข้าสู่ภาวะติดหล่มไปจนถึงอย่างน้อยช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2568"
ด้านนายกรัฐมนตรี กาเบรียล อัตทาล ประกาศว่าจะยื่นใบลาออกในวันจันทร์นี้ (8 ก.ค.) แต่จะทำหน้าที่รักษาการณ์ต่อไปตราบเท่าที่จำเป็น