รัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่ม G7 ได้เรียกร้องเมื่อวานนี้ (4 ส.ค.) ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตตะวันออกกลางในปัจจุบัน หลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น
นายอันโตนิโอ ทาจานี รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี ผู้เป็นตัวแทนประธานกลุ่ม G7 ได้ระบุในแถลงการณ์ว่า "เราขอเรียกร้องให้ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องยุติการริเริ่มใด ๆ ที่จะขัดขวางเส้นทางของการเจรจาและการคลี่คลาย และส่งเสริมให้ความรุนแรงยกระดับขึ้นอีก"
นายทาจานีกล่าวว่า หลังจากหารือถึงความคืบหน้าล่าสุดในการประชุมทางวิดีโอแล้ว บรรดารัฐมนตรีได้แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่อาจนำไปสู่การขยายวิกฤตไปยังภูมิภาค โดยเริ่มจากเลบานอน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประชุมพิเศษครั้งนี้ของกลุ่ม G7 เกิดขึ้นหลังจากที่วิกฤตทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเกิดเหตุลอบสังหารนายฟาอัด โชกอร์ ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน และนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำของกลุ่มฮามาส ในกรุงเตหะราน ของอิหร่าน เมื่อวันที่ 31 ก.ค.
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็เกิดเหตุยิงจรวดในที่ราบสูงโกลันที่อิสราเอลยึดครอง ซึ่งคร่าชีวิตเด็กและวัยรุ่น 12 คน โดยทั้งอิสราเอลและสหรัฐฯ มองว่าเป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์จากเลบานอน
ด้านอิหร่าน ฮามาส และฮิซบอลเลาะห์ กล่าวหาอิสราเอลว่าเป็นผู้ลงมือสังหารทั้งผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และผู้นำของกลุ่มฮามาส และขู่จะตอบโต้ โดยอิสราเอลประกาศว่าอยู่เบื้องหลังเหตุสังหารนายโชกอร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีในโกลัน แต่ไม่ได้ยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนายฮานีเยห์
นับแต่นั้นมา ชายแดนอิสราเอล-เลบานอนก็เกิดการยิงกันรวมถึงยิงจรวดใส่กันมากขึ้น และความพยายามทางการทูตเพื่อควบคุมวิกฤตก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ประธาน G7 ระบุว่า "เราขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบรรลุผลสำเร็จในการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซาและการปล่อยตัวประกัน และยืนยันความมุ่งมั่นของเราที่จะเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับประชาชนในฉนวนกาซา"