ผลการวิเคราะห์โพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์/อิปซอสส์ (Reuters/Ipsos) ชี้ให้เห็นว่า นางคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำแซงหน้าตัวเลขที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยทำไว้ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ยังคงครองใจโหวตเตอร์กลุ่มคนผิวขาวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ผลการวิเคราะห์นี้ได้ศึกษาคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 10,000 คน จากโพลทั่วประเทศ 7 ครั้งของรอยเตอร์/อิปซอสส์ ที่จัดทำตั้งแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นมา ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่สำคัญของนางแฮร์ริส รองปธน.สหรัฐคนปัจจุบัน ซึ่งก้าวขึ้นมารับไม้ต่อจากปธน.ไบเดน หลังจากที่ไบเดนประกาศถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งอีกสมัยเมื่อวันที่ 21 ก.ค.
หากนางแฮร์ริสเอาชนะทรัมป์ในการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.นี้ได้ก็จะกลายเป็นปธน.หญิงผิวดำคนแรกของสหรัฐ และในขณะเดียวกันก็จะเป็นปธน.สหรัฐคนแรกที่มีเชื้อสายเอเชียด้วย
ผลโพลเดือนก.ค.ชี้ว่า หากให้เลือกระหว่างแฮร์ริสกับทรัมป์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำ 70% จะเลือกแฮร์ริส ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากผลโพลเดือนพ.ค.และมิ.ย.ที่มีเพียง 59% ที่สนับสนุนไบเดน ส่วนทรัมป์นั้น คะแนนนิยมในกลุ่มคนผิวดำเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 12% ในเดือนก.ค. จาก 9% ในเดือนพ.ค.และมิ.ย.
ขณะเดียวกัน ทรัมป์กำลังได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นจากคนผิวขาว โดยผลโพลเดือนก.ค. ชี้ว่า 50% ของโหวตเตอร์กลุ่มนี้เลือกทรัมป์ เพิ่มขึ้นจาก 46% ในเดือนพ.ค.และมิ.ย. ส่วนแฮร์ริสนั้น ได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มคนผิวขาว 38% ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 36% ในเดือนพ.ค.และมิ.ย.
ผลโพลทั้งหมดของเดือนก.ค.บ่งชี้ว่าการแข่งขันยังคงสูสีมาก โดยพบว่าแฮร์ริสและทรัมป์ต่างได้รับคะแนนนิยมเท่ากันที่ 43% ส่วนผลโพลในช่วงเดือนพ.ค.และมิ.ย. ไบเดนและทรัมป์ก็ได้คะแนนเท่ากันที่ 40% เช่นกัน
การวิเคราะห์นี้ได้ศึกษาผลโพลที่เก็บข้อมูลตลอดเดือนก.ค. โดยสมมติว่าเป็นการแข่งขันระหว่างแฮร์ริสกับทรัมป์ โดยรวมถึงคำตอบที่ได้มาก่อนที่ปธน.ไบเดน วัย 81 ปี จะประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับแฮร์ริสนั้น เป็นข้อมูลที่รวบรวมหลังการดีเบตระหว่างไบเดนกับทรัมป์เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ซึ่งความผิดพลาดของไบเดนในวันนั้นได้ทำให้สมาชิกพรรคเดโมแครตเรียกร้องให้เขาถอนตัวจากการแข่งขันในเวลาต่อมา
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ระบุว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวยังคงเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในการเลือกตั้งเมื่อปี 2563 โดยมีสัดส่วนถึง 72% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของคนกลุ่มนี้ลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ในปีนั้น ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีสัดส่วนเพียง 11% ของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่คนกลุ่มนี้ถือเป็นกำลังสำคัญของพรรคเดโมแครต และอาจมีอิทธิพลเหนือความคาดหมายต่อผลการเลือกตั้งในปีนี้
นายเทอร์แรนซ์ วูดเบอรี นักทำโพลของพรรคเดโมแครต ผู้เชี่ยวชาญด้านการเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งชนกลุ่มน้อย ได้ให้ความเห็นว่า แฮร์ริสจำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เพื่อชดเชยคะแนนนิยมที่เป็นรองในกลุ่มคนผิวขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชายผิวขาวและผู้สูงอายุ
"เธอต้องรวบรวมฐานเสียงของเธอเข้าด้วยกัน ทั้งกลุ่มคนผิวดำ คนหนุ่มสาว และผู้หญิงผิวสี" นายวูดเบอรีกล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวได้วิเคราะห์ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนหน้าคูหาเลือกตั้งหรือเอ็กซิตโพล (Exit Poll) แล้วพบว่า ในการเลือกตั้งปี 2563 ไบเดนได้รับคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำถึง 92% ในขณะที่ทรัมป์ได้รับคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาว 55%
แฮร์ริสอาจได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำที่เคยลังเลว่าจะเลือกใครดี โดยผลโพลพบว่า ในเดือนก.ค. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำราว 19% ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร โดยอาจเลือกผู้สมัครอิสระ หรืออาจไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเลย ซึ่งลดลงจาก 31% ในช่วงเดือนพ.ค.และมิ.ย.
ด้านทีมงานหาเสียงของแฮร์ริสคาดการณ์ว่า การแข่งขันจะยังคงเป็นไปอย่างสูสีจนถึงวันเลือกตั้งในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ ทรัมป์เคยกล่าวหาแฮร์ริสอย่างไม่มีมูลว่าเธอพยายามลดทอนรากเหง้าความเป็นคนผิวดำของตัวเอง ทรัมป์ถึงกับโดนเสียงโห่จากที่ประชุมนักข่าวผิวดำ เมื่อออกปากว่าแฮร์ริสเคยโปรโมตแต่ความเป็นอินเดียของตัวเองในอดีต ทั้งที่ความจริงแล้ว แฮร์ริสซึ่งมีเชื้อสายทั้งอินเดียและจาเมกา ยืนยันมาตลอดว่าตัวเองเป็นทั้งคนผิวดำและคนเอเชีย