รัสเซียได้อพยพประชาชนออกจากอีกภูมิภาคหนึ่งที่อยู่ติดกับยูเครนในวันนี้ (12 ส.ค.) หลังจากยูเครนเพิ่มกิจกรรมทางทหารใกล้ชายแดน เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ยูเครนทำการโจมตีรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามในปี 2565
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อเช้าตรู่ของวันอังคารที่แล้ว กองกำลังยูเครนสามารถฝ่าแนวชายแดนของรัสเซียและรุกคืบเข้าไปในพื้นที่บางส่วนของภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซียทางตะวันตก โดยการโจมตีอย่างน่าประหลาดใจดังกล่าวอาจมีจุดประสงค์เพื่อเสริมความได้เปรียบของยูเครนในการเจรจาหยุดยิงที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งของสหรัฐ
บล็อกเกอร์สงครามของรัสเซียรายงานว่า รัสเซียเองก็ประหลาดใจกับการโจมตีของยูเครนในครั้งนี้ แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) รัสเซียก็สามารถรักษาเสถียรภาพสถานการณ์ในภูมิภาคเคิร์สก์ได้ แต่ยูเครนยังคงควบคุมดินแดนของรัสเซียได้บางส่วน ขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่ดังกล่าวในวันนี้
เวียเชสลาฟ กลัดคอฟ ผู้ว่าการเขตเบลโกรอดทางตอนใต้กล่าวว่า ประชาชนกำลังอพยพออกจากเขตครัสนายา ยารูกา เนื่องจากมีศัตรูเคลื่อนไหวมากขึ้นใกล้ชายแดนซึ่งถือเป็นภัยคุกคาม
กลัดคอฟกล่าวว่า "ผมมั่นใจว่าทหารของเราจะรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรากำลังเริ่มย้ายผู้อยู่อาศัยจากเขตครัสนายา ยารูกาไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า"
รัสเซียได้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในภูมิภาคเคิร์สก์, ไบรอันสค์ และเบลโกรอด ในเวลาเดียวกัน เบลารุสซึ่งเป็นพันธมิตรของรัสเซียได้ประกาศเพิ่มจำนวนทหารที่ชายแดน โดยการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเบลารุสอ้างว่ายูเครนใช้โดรนรุกล้ำเข้าสู่น่านฟ้าของเบลารุส
การโจมตีดินแดนรัสเซียอย่างกล้าหาญของยูเครนมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้พันธมิตรตะวันตกเห็นว่า ยูเครนยังคงสามารถดำเนินการทางทหารที่สำคัญได้ ในเวลาเดียวกัน ยูเครนอาจพยายามหาข้อได้เปรียบสำหรับการเจรจาสันติภาพในอนาคตด้วยการแสดงความแข็งแกร่งของตนเอง