อดีตข้าราชการซาอุฯ แฉ "มกุฎราชกุมารซัลมาน" ปลอมพระปรมาภิไธย ลอบสั่งทำสงครามเยเมน

ข่าวต่างประเทศ Tuesday August 20, 2024 15:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

อดีตข้าราชการระดับสูงของซาอุดีอาระเบียกล่าวหาว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงปลอมแปลงพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ พระราชบิดา ในพระราชกฤษฎีกาประกาศสงครามกับกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอันยืดเยื้อที่ดำเนินมาหลายปีแล้ว

ทางการซาอุฯ ไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของนายซาอัด อัล-จาบรี ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 ส.ค.) โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน

ต่อมา นายอัล-จาบรีได้ยืนยันข้อกล่าวหาเหล่านี้อีกครั้งอย่างละเอียดในคำแถลงแยกต่างหากต่อสำนักข่าวเอพี ขณะที่ทางการซาอุฯ ได้กล่าวถึงนายอัล-จาบรีว่าเป็น "อดีตข้าราชการที่เสื่อมเสียชื่อเสียง"

ทั้งนี้ นายอัล-จาบรี อดีตพลตรีและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองซาอุฯ ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในแคนาดานั้น มีปัญหาขัดแย้งกับรัฐบาลซาอุฯ มายาวนาน โดยลูกสองคนของเขาถูกจับกุมคุมขังในคดีที่นายอัล-จาบรีมองว่าเป็นกลยุทธ์เพื่อล่อให้เขากลับประเทศ นอกจากนี้ อัล-จาบรียังกล่าวหาว่ามกุฎราชกุมารฯ ต้องการสั่งลอบสังหารเขาอีกด้วย

ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้นในช่วงที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้นำโดยพฤตินัยของซาอุฯ โดยมักจะเป็นผู้แทนพระองค์ในการพบปะผู้นำต่างประเทศแทนพระราชบิดา ซึ่งมีพระชนมายุ 88 พรรษา

พระราชจริยวัตรที่แข็งกร้าวของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ขึ้นสู่อำนาจราวปี 2558 ซึ่งตรงกับจุดเริ่มต้นของสงครามเยเมน ได้ขยายวงกว้างไปสู่การปราบปรามอย่างเข้มงวดต่อทุกสิ่งที่อาจมองว่าเป็นการต่อต้านหรือเป็นฐานอำนาจที่อาจท้าทายการปกครองของพระองค์

นายอัล-จาบรีเปิดเผยกับบีบีซีเป็นที่แรกว่า มีเจ้าหน้าที่ "ที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้" ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยซาอุฯ ได้ยืนยันกับเขาว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดเป็นผู้ลงพระนามในคำสั่งประกาศสงครามแทนพระราชบิดา

ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้น เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ต่อมา นายอัล-จาบรีเปิดเผยกับทางเอพีว่า เขาได้ตกลงกับฝ่ายสหรัฐในยุครัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้ซาอุฯ เปิดฉาก "ปฏิบัติการทิ้งระเบิดทางอากาศ เพื่อกำจัดภัยคุกคามจากกลุ่มฮูตี สร้างการป้องปราม และผลักดันให้เกิดกระบวนการทางการเมือง โดยไม่ต้องส่งกำลังทหารภาคพื้นดิน"

จากนั้น อดีตหัวหน้าของเขา คือเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยซาอุฯ ได้เป็นประธานการประชุมในซาอุฯ เพื่อรับรองแผนดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม นายอัล-จาบรีอ้างว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงแสดงท่าทีไม่พอพระทัยอย่างชัดเจนในที่ประชุม และมีพระดำรัสว่าพระองค์สามารถเอาชนะกลุ่มฮูตีได้ภายในเวลาแค่สองเดือนด้วยการส่งกำลังทหารบุกทางภาคพื้นดิน

"น่าตกใจมากครับ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน มีการออกพระบรมราชโองการมาใหม่ ซึ่งล้มเลิกแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า และสั่งให้ส่งกำลังทหารบุกทางภาคพื้นดินแทน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ กษัตริย์มิได้ทรงทราบเรื่องนี้เลย และพระปรมาภิไธยในเอกสารก็เป็นของปลอมด้วย" นายอัล-จาบรีกล่าวกับทางเอพี

ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อข้อกล่าวอ้างของนายอัล-จาบรี

ทั้งนี้ สงครามต่อต้านกลุ่มกบฏฮูตีที่อิหร่านหนุนหลังในเยเมน ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำมั่นสัญญาต่อสาธารณชนของเจ้าชายว่าจะจบลงอย่างรวดเร็ว กลับยืดเยื้อมาเกือบ 10 ปีแล้ว สงครามครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 150,000 ราย และก่อให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซาปะทุขึ้น กลุ่มฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเดินเรือในเส้นทางนี้ต้องหยุดชะงัก สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปะทะทางทะเลที่รุนแรงที่สุดที่กองทัพเรือสหรัฐต้องเผชิญนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

อนึ่ง เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารในรัชสมัยของกษัตริย์ซัลมาน เคยเป็นพันธมิตรที่สหรัฐไว้วางใจอย่างมากในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในซาอุฯ หลังเหตุการณ์ 11 ก.ย. 2544

อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 กษัตริย์ซัลมานได้แต่งตั้งพระโอรสของพระองค์เองให้เป็นมกุฎราชกุมารแทน และมีรายงานว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ถูกกักบริเวณภายในบ้านพักนับแต่นั้นเป็นต้นมา

นายอัล-จาบรีได้ยื่นฟ้องเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ต่อศาลสหรัฐ โดยกล่าวหาว่ามกุฎราชกุมารพยายามสั่งฆ่าเขาหลังจากที่เขาหนีออกนอกประเทศ

นายอัล-จาบรีเผยถึงความหวาดกลัวว่ามกุฎราชกุมารยังคงต้องการเอาชีวิตเขาอยู่ ในขณะที่ลูก ๆ วัยผู้ใหญ่ของเขา ซาราห์และโอมาร์ ยังถูกคุมขังอยู่ในซาอุฯ ซึ่งเขาได้ย้ำประเด็นนี้อีกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับเอพี

"การนิ่งเงียบมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงเรื่อย ๆ ผมเลยจำเป็นต้องออกมาพูดความจริงเพื่อความอยู่รอดของลูก ๆ และเพื่อประเทศชาติ" อัล-จาบรีกล่าวกับเอพี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ