ผลสำรวจรอยเตอร์/อิปซอสเผย คะแนนนิยม "คามาลา แฮร์ริส" ตัวแทนพรรคเดโมแครต พุ่งแซงหน้า "โดนัลด์ ทรัมป์" ตัวแทนพรรครีพับลิกัน สะท้อนกระแสความนิยมในตัวรองประธานาธิบดีหญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้
โพลรอยเตอร์/อิปซอส เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) ระบุว่า คะแนนนิยมของแฮร์ริสพุ่งขึ้นเป็น 45% ขณะที่ทรัมป์อยู่ที่ 41%
จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่า แฮร์ริสนำทรัมป์อยู่ 4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปลายเดือนก.ค.ที่แฮร์ริสนำอยู่เพียง 1%
ผลสำรวจล่าสุดนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 21-28 ส.ค. 2567 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อน 2% ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า แฮร์ริสได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้หญิงและชาวฮิสแปนิกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยนำทรัมป์ในกลุ่มผู้หญิงและชาวฮิสแปนิกที่ 49% ต่อ 36% หรือห่างกันถึง 13% เทียบกับผลสำรวจ 4 ครั้งในเดือนก.ค. ที่แฮร์ริสนำทรัมป์ในกลุ่มผู้หญิงอยู่ 9% และในกลุ่มชาวฮิสแปนิกอยู่ 6%
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงนำในกลุ่มโหวตเตอร์ผิวขาวและผู้ชายในสัดส่วนใกล้เคียงกับเดือนก.ค. แต่คะแนนนำของทรัมป์ในกลุ่มโหวตเตอร์ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลดลงเหลือ 7% จาก 14% ในเดือนก.ค.
ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสนามเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโจ ไบเดน ปธน.สหรัฐฯ คนปัจจุบัน ประกาศยุติการลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ส่งผลให้แฮร์ริสมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและในรัฐที่มีการแข่งขันสูง (Swing State)
แม้ผลสำรวจระดับชาติจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงมุมมองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ผลการเลือกตั้งในแต่ละรัฐจะเป็นตัวกำหนดผู้ชนะ โดยเฉพาะในรัฐที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินผลการเลือกตั้ง
ผลสำรวจพบว่า ใน 7 รัฐที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในปี 2563 ได้แก่ วิสคอนซิน, เพนซิลเวเนีย, จอร์เจีย, แอริโซนา, นอร์ทแคโรไลนา, มิชิแกน และเนวาดา ทรัมป์นำแฮร์ริสอยู่ที่ 45% ต่อ 43% ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่โพลสำนักข่าวบลูมเบิร์ก/มอร์นิงคอนซัลต์ ที่เผยแพร่ในวันเดียวกัน ระบุว่า แฮร์ริสนำหรือเสมอกับทรัมป์ในรัฐเหล่านี้ทั้งหมด
"เห็นได้ชัดว่า การแข่งขันกับแฮร์ริสเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทรัมป์มากกว่า เมื่อดูจากตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้" แมตต์ โวลกิง นักยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเคยทำงานในทีมหาเสียงของทรัมป์ในปี 2563 กล่าวถึงโพลรอยเตอร์/อิปซอส
โวลกิงกล่าวว่า ทรัมป์จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การหาเสียงให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้โหวตเตอร์ที่เคยเอนเอียงมาทางเขาเพราะไม่ชอบไบเดนนั้น เกิดกลัวแล้วเปลี่ยนใจไปเลือกแฮร์ริสแทน
หลังจากที่แฮร์ริสได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคเดโมแครต เธอได้เริ่มต้นการเดินสายหาเสียงในรัฐที่มีการแข่งขันสูง รวมถึงรัฐจอร์เจีย
จากโพลรอยเตอร์/อิปซอส พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตราว 73% รู้สึกตื่นเต้นที่จะไปลงคะแนนเสียงในเดือนพ.ย.นี้มากขึ้น หลังจากที่แฮร์ริสเข้าร่วมการแข่งขัน
ในขณะที่โพลรอยเตอร์/อิปซอสในเดือนมี.ค. พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 61% ที่ตั้งใจจะลงคะแนนเสียงให้ไบเดน ทำไปเพราะต้องการหยุดยั้งทรัมป์เป็นหลัก แต่ 52% ของผู้ที่เลือกแฮร์ริสในโพลเดือนส.ค. เลือกเพราะต้องการสนับสนุนแฮร์ริสในฐานะผู้สมัคร มากกว่าที่จะเลือกเพราะต่อต้านทรัมป์
"เราเห็นได้จากโพลนี้ว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับอนาคตมากกว่าอดีต" เอมี อัลลิสัน ผู้ก่อตั้ง "ชี เดอะพีเพิล" (She the People) กล่าว "พวกเขามองว่าคามาลา แฮร์ริส คืออนาคต"
อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนทรัมป์ก็แสดงความกระตือรือร้นต่อตัวผู้สมัครของพวกเขาเช่นกัน โดย 64% ระบุว่า พวกเขาเลือกทรัมป์เพราะต้องการสนับสนุนทรัมป์ มากกว่าที่จะเลือกเพราะต่อต้านแฮร์ริส
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่า ทรัมป์มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าแฮร์ริส ที่ 45% ต่อ 36% ในทางกลับกัน แฮร์ริสมีคะแนนนำในเรื่องนโยบายการทำแท้ง ที่ 47% ต่อ 31% ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับพรรคเดโมแครต หลังจากที่ศาลสูงสหรัฐฯ ได้ยกเลิกสิทธิในการทำแท้งทั่วประเทศในปี 2565
ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นทั่วประเทศ โดยเก็บรวบรวมคำตอบจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 4,253 คน รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3,562 คน