ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นให้คำมั่นในวันนี้ (4 ต.ค.) ว่าจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบการเมือง หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวหลายครั้ง พร้อมพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ท่ามกลางภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากประเทศเพื่อนบ้านและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกต่อรัฐสภาหลังจากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในต้นสัปดาห์นี้ อิชิบะเรียกสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่ในขณะนี้ว่า "ร้ายแรงและซับซ้อนที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2"
ขณะเดียวกัน อิชิบะซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกลาโหมยังกล่าวถึงการละเมิดน่านฟ้าโดยจีนและรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมความแข็งแกร่งในด้านการป้องกันประเทศ และขยายเครือข่ายประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน โดยมีความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เป็นหัวใจสำคัญ
อิชิบะวัย 67 ปีได้ยึดมั่นตามแนวทางของ ฟูมิโอะ คิชิดะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยให้คำมั่นว่าจะขยายการสนับสนุนไปยังครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเริ่มเห็นวงจรการเติบโตและการกระจายความมั่งคั่งอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกถึงประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและค่าจ้างที่สูงขึ้น
อิชิบะตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุระดับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยรายชั่วโมงทั่วประเทศที่ 1,500 เยน (10 ดอลลาร์) ภายในสิ้นทศวรรษ 2020 ซึ่งเร็วกว่าที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ตั้งเป้าไว้ ซึ่งในขณะนี้ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 1,055 เยน
สำหรับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับกองทุนการเมือง (slush fund) ที่ทำลายความเชื่อมั่นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) นั้น อิชิบะกล่าวว่า "ผมจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบการเมืองที่สูญเสียไปจากประเด็นกองทุนการเมือง และจะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอย่างชัดเจนกว่าที่เคย"
อย่างไรก็ดี การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยถึงความปรารถนาของเขาที่ต้องการจัดตั้งพันธมิตรคล้ายกับนาโตในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยังคงมีความตึงเครียดสูงระหว่างจีนและไต้หวัน