ผลการวิเคราะห์โพลล์จากสำนักข่าวรอยเตอร์/อิปซอสเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.) ชี้ให้เห็นว่า คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต สามารถพลิกสถานการณ์แซงหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ในกลุ่มโหวตเตอร์ที่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองและกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง ซึ่งถือเป็นฐานเสียงสำคัญของสหรัฐฯ
นับตั้งแต่ปธน.โจ ไบเดน ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งอีกสมัยเมื่อวันที่ 21 ก.ค. รองปธน.แฮร์ริสก็ได้ก้าวขึ้นมานำในกลุ่มประชากรหลักทั้ง 2 กลุ่มนี้ ส่งผลให้โอกาสชนะของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย. ดูสดใสขึ้น แม้การแข่งขันยังคงสูสีอย่างยิ่งก็ตาม
ตามการวิเคราะห์จากผลโพลล์รอยเตอร์/อิปซอสทั้ง 6 ครั้ง ที่สำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 6,000 คน แฮร์ริสได้คะแนนนำหน้าทรัมป์ 47% ต่อ 41% ในกลุ่มโหวตเตอร์ชานเมือง ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนโหวตเตอร์ทั้งหมดในสหรัฐฯ ในการสำรวจช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์นำไบเดน 43% ต่อ 40% ในการสำรวจเดือนมิ.ย.-ก.ค.
ในช่วงเวลาเดียวกัน ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ระหว่าง 50,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางของประเทศ ก็พลิกผันไม่แพ้กัน จากที่ทรัมป์เคยนำไบเดน 44% ต่อ 37% กลับกลายเป็นตามหลังแฮร์ริส 43% ต่อ 45%
ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสชี้ว่า โหวตเตอร์มองประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งก่อนการเลือกตั้ง โดยโพลล์เมื่อเดือนต.ค.ระบุว่า 46% ของโหวตเตอร์เห็นว่าทรัมป์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในด้านเศรษฐกิจ นำหน้าแฮร์ริสที่ได้ 38% อยู่ถึง 8 คะแนน
นอกจากนี้ ผลโพลล์ยังชี้ให้เห็นว่าทรัมป์ได้รับความไว้วางใจมากกว่าในประเด็นเรื่องผู้อพยพและอาชญากรรม โดยในเดือนส.ค. ทรัมป์ได้ประกาศกับผู้สนับสนุนว่าเขาคือแคนดิเดตที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับย่านชานเมือง และจะทำให้แน่ใจว่าผู้อพยพที่ลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามาอย่างผิดกฎหมายจะถูก "กันออกไปจากเขตชานเมือง"
ขณะที่ทรัมป์โจมตีรัฐบาลไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของภาวะเงินเฟ้อที่ทำร้ายชนชั้นกลางอเมริกัน แฮร์ริสกลับเน้นย้ำในสุนทรพจน์ของเธอถึงคำมั่นสัญญาที่จะขยายกลุ่มชนชั้นกลางให้ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ ผลโพลล์ยังชี้ว่าแฮร์ริสมักถูกเลือกให้เป็นแคนดิเดตที่ดีกว่าในแง่ของการปกป้องประชาธิปไตยและการต่อต้านแนวคิดสุดโต่งทางการเมือง
เดวิด วาสเซอร์แมน นักวิเคราะห์การเมืองจากคุก โพลิติคัล รีพอร์ต (Cook Political Report) กล่าวว่า "แฮร์ริสเน้นประเด็นเรื่องค่าครองชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความได้เปรียบของทรัมป์ในเรื่องเงินเฟ้อและเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัด"
วาสเซอร์แมนระบุว่า แฮร์ริสดูเหมือนจะได้กระแสตอบรับที่ดีในกลุ่มคนชานเมืองที่ค่อนข้างมีฐานะ ซึ่งอาจมองแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่บวกมากขึ้น ขณะที่คะแนนนิยมของแฮร์ริสที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางอาจเป็นผลมาจากการที่ทีมหาเสียงของเธอสัญญาจะช่วยเหลือครัวเรือนชนชั้นกลางอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่าจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองที่โน้มเอียงไปทางเดโมแครต และในเขตชนบทที่สนับสนุนรีพับลิกัน อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินผลการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ ผลโพลล์ล่าสุดจากทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 4-7 ต.ค. ชี้ให้เห็นว่าแฮร์ริสนำหน้าทรัมป์เพียงเล็กน้อยในหมู่โหวตเตอร์ทั้งหมด โดยได้คะแนนเหนือทรัมป์ 46% ต่อ 43%
แม้คะแนนนำเพียงเล็กน้อยในระดับประเทศของแฮร์ริสมีความสำคัญ แต่ผลการเลือกตั้งจะขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงใน 7 รัฐสมรภูมิ (battleground state) เป็นหลัก ได้แก่ แอริโซนา, มิชิแกน, เพนซิลเวเนีย, นอร์ทแคโรไลนา, เนวาดา, วิสคอนซิน และจอร์เจีย ซึ่งผลโพลล์ในรัฐเหล่านี้ก็ยังคงสูสีกันอยู่