รายงานจากสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) ของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (4 พ.ย.) ระบุว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจเสียกำลังซื้อถึง 7.8 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี หากข้อเสนอการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้
อัตราภาษีที่เสนอจะส่งผลกระทบต่อสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องแต่งกาย ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รองเท้า และอุปกรณ์การเดินทาง โดยเฉพาะสินค้าที่จีนเป็นผู้ซัพพลายเออร์หลัก
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีแนวโน้มใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น และพยายามจำกัดค่าใช้จ่ายด้วยการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ค้าปลีกและบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐฯ
"ผู้ค้าปลีกพึ่งพาสินค้าและชิ้นส่วนการผลิตนำเข้าเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะสามารถนำเสนอสินค้าที่หลากหลายแก่ลูกค้าในราคาที่เอื้อมถึงได้" โจนาธาน โกลด์ รองประธานฝ่ายซัพพลายเชนและนโยบายศุลกากรที่ NRF กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมีการบังคับใช้อัตราภาษีดังกล่าว จะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นต่อครอบครัวรายได้น้อย เนื่องจากภาษีนี้ซึ่งเป็นภาษีที่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ต้องจ่ายนั้น ถูกผลักภาระให้กับผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดเรื่องการเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าจากทุกประเทศในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ เมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว และยังกล่าวในเดือนก.พ. ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม 60%-100% สำหรับสินค้าจากจีน