ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับลดขอบเขตนโยบายต่อต้านการผูกขาดที่ดำเนินการภายใต้การบริหารของปธน.โจ ไบเดน ซึ่งอาจรวมถึงความพยายามที่จะบีบให้กูเกิล (Google) ขายกิจการบางส่วน เพื่อลดอิทธิพลผูกขาดในแวดวงการค้นหาออนไลน์
หลายฝ่ายคาดว่าทรัมป์จะสานต่อการดำเนินการกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่อไป ซึ่งบริษัทหลายแห่งในกลุ่มนี้ก็ต่อเนื่องมาจากที่เขาได้เริ่มไว้ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก แต่ทรัมป์เคยแสดงข้อสงสัยเอาไว้ในเรื่องการให้กูเกิลแตกธุรกิจ แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่เขาจะดำเนินการในกรณีเหล่านี้
ทรัมป์เคยกล่าวเอาไว้ในเดือนต.ค.ว่า "การทำแบบนั้น ตั้งใจจะทำลายบริษัทหรือไง สิ่งที่ทำได้โดยไม่ทำให้บริษัทต้องแตกธุรกิจคือทำให้มันมีความเป็นธรรมมากขึ้น"
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตอนนี้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังดำเนินคดีต่อต้านการผูกขาด 2 คดีกับกูเกิล โดยคดีหนึ่งฟ้องร้องเกี่ยวกับการค้นหา และอีกคดีหนึ่งฟ้องร้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีโฆษณา นอกจากนี้ยังมีคดีหนึ่งที่ทางกระทรวงฟ้องร้องต่อแอปเปิ้ล (Apple) ด้วย ขณะที่คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ กำลังฟ้องร้องเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com)
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้กำหนดแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้หลายประการสำหรับคดีระบบค้นหาออนไลน์ของกูเกิล ซึ่งรวมถึงการบังคับให้กูเกิลขายธุรกิจบางส่วน เช่น เว็บเบราว์เซอร์โครม (Chrome) และยุติข้อตกลงที่ทำให้กูเกิลเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนอุปกรณ์ เช่น iPhone
อย่างไรก็ตาม วิลเลียม โควาซิช ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน เปิดเผยว่า การพิจารณาคดีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงเดือนเม.ย. 2568 โดยคำตัดสินขั้นสุดท้ายน่าจะมีขึ้นในเดือนส.ค. นั่นจะทำให้ทรัมป์และกระทรวงยุติธรรมมีเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางหากพวกเขาเลือกที่จะทำ