กลุ่มประเทศยุโรปตกลงกันเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ, การทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพยากรด้านการทหารอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันระหว่างรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ
หลายประเทศในยุโรปได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียในยูเครน และความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจลดบทบาทในการปกป้องยุโรป โดยเฉพาะภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า ยุโรปจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ โดยเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันพัฒนาและจัดซื้ออาวุธ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าและลดความซ้ำซ้อนในตลาดอาวุธยุโรป
ทั้งนี้ ภายใต้ 4 โครงการที่ประกาศโดยสำนักงานป้องกันยุโรป (EDA) นั้น กลุ่มประเทศต่าง ๆ ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธ, การทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์, อาวุธแบบดักรออยู่กับที่ (loitering munitions) และเรือรบยุโรป
โจเซฟ บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของ EU ระบุในแถลงการณ์ว่า ความพยายามในระดับชาติ แม้ว่าจะมีความสำคัญ แต่ยังไม่เพียงพอ โดยภูมิทัศน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ความร่วมมือของเรา รวมถึงการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามขนาดใหญ่
EDA ระบุว่า มี 18 ประเทศซึ่งรวมถึงเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลี รวมไปถึงไซปรัสและลักเซมเบิร์กได้ร่วมมือกันในโครงการป้องกันภัยทางอากาศ ขณะที่ 17 ประเทศเข้าร่วมโครงการพัฒนาอาวุธแบบดักรออยู่กับที่, 14 ประเทศเข้าร่วมโครงการด้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และ 7 ประเทศเข้าร่วมโครงการพัฒนาเรือรบ